การรู้ระดับขั้นพฤติกรรมกับการรู้ระดับขั้นปรมัตถ์ และสัจจะต่างกันเช่นไร?
มีการสอนกันว่า "เรื่องทุกข์ให้คิดซะว่า เป็นเพียงก้อนหิน(ใหญ่) อย่าไปถือมันไว้ให้มันหนัก ให้ปล่อยไปใจจะคลายทุกข์ แล้วจะพบความสุขในจิตใจ ให้เห็นเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ" เมื่อเหตุมีอยู่ยังไม่ได้กำจัดไป นึกเอาแต่ผล เช่นว่าหิวอยู่นึกเอาว่าอิ่มแล้ว ความหิวจะหายไปไหม? พวกสร้างพฤติกรรมปลอบใจตนเองและผู้อื่นจึงมีผลทำให้สบายใจขึ้นเท่านั้นไม่สามารถเข้าถึงปรมัตถ์ และสัจจะได้รู้พฤติกรรมกับรู้องค์ธรรม(ปรมัตถ์)ที่เป็นสัจจะ คือ ทนต่อการพิสูจน์ และ เป็นสาธารณะแก่บุคคลทั่วๆไป ซึ่งแต่ละประเภทของปรมัตถ์ต้องประกอบด้วย
1. บอกลักษณะให้ทราบได้ว่าเป็นปรมัตถ์นั้นๆ 2. บอกหน้าที่(กิจ)หรือคุณสมบัติ(รส)แห่งปรมัตถ์นั้นๆได้ 3. บอกผลหรืออาการที่ปรากฏแห่งปรมัตถ์นั้นๆได้ 4. บอกเหตุใกล้ที่ให้เกิดแห่งปรมัตถ์นั้นๆได้
ตัวอย่างเช่น - การรู้ระดับขั้นพฤติกรรมกับการรู้ระดับขั้นปรมัตถ์และสัจจะต่างกันต่างกันเช่นไร ? ถามว่า ระหว่างเมตตากับขันติ ต่างก็มีมูล คือ อโทสะเหมือนกัน แต่อาการแตกต่างกันเช่นไร ?
ตอบ : เมตตาเป็นความหวังดีเป็นสภาวะ ส่วนขันติ เป็นการยอมรับความจริงเป็นสภาวะ มีลักษณะเฉพาะดังนี้ :- 1. มีการยอมรับความจริงเป็นสภาวะ 2. มีการกำจัดความขัดเคืองใจเป็นกิจ 3. มีการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเป็นผลปรากฏ 4. มีปัญญาที่รู้ความจริงเป็นเหตุใกล้
ดังนั้นที่เราเข้าใจกันว่า โกรธขัดเคืองแล้วอดทนเอาจึงผิดกับตัวสภาวะที่เป็นองค์ธรรมอันมูลเหตุคือ อโทสะ เมื่อจัดเป็นสถานะของศีล เมตตาเป็นปหานศีลคือ เป็นธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการทุศีล ด้วยอาการที่ทำให้การทุศีลเกิดขึ้นไม่ได้ เช่น เพราะมีความเมตตาจึงฆ่สัตว์ไม่ได้
ส่วน ขันติ เป็นธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการทุศีล ด้วยอาการป้องกันการทุศีล เช่น นางปฏาจารา ผู้เป็นธิดาสาวรูปงามของเศรษฐี ชาวกรุงสาวัตถี หนีพิธีวิวาห์ที่มารดาบิดาจัดแจงให้ ไปกับชายคนใช้ซึ่งแอบรักใคร่ชอบพอกันอยู่ ไปอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ประกอบอาชีพทำไรไถนาที่หมู่บ้านอื่นที่คนไม่รู้จักพวกตน ครั้นนางปฏาจาราตั้งครรภ์ นางจึงอ้อนวอนสามีพากลับไปบ้านมารดาบิดาตามธรรมเนียมประเพณีนิยม สามีพยายามบ่ายเบี่ยงผ้ดวันประกันพรุ่งเรื่อยมา ด้วยเกรงว่าหากกลับไปสู่ตระกูลของภรรยาอาจถูกลงโทษอย่างรุนแรง เพราะเหตุนี้เมื่อเมื่อครรภ์แก่นางจึงแอบหนีกลับตามลำพังขณะที่สามีออกไปทำงานนอกบ้าน ครั้นสามีทราบความจริงจากเพื่อนบ้าน ก็รีบติดตามจนพบนางระหว่างทาง อ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับ พลันก็ได้เกิด กัมมัชวาต คือ ลมเบ่ง สามีจึงพาไปพักใต้ต้นไม้ เมื่อคลอดแล้ว ความจำเป็นที่จะไปบ้านมารดาบิดาก็หมดไปต่างพากันกลับสู่เรือนของตน. อยู่มาไม่นานนางก็ตั้งครรภ์อีก นางก็แอบหนีกลับไปบ้านมารดาบิดาตามประเพณีนิยมเหมือนเดิมพร้อมกับอุ้มบุตรคนแรกไปด้วย สามีก็ติดตามมาทันเช่นเคย ขณะนั้นฝนตกอย่างหนักลมพายุก็แรงด้วย สามีจึงต้องหาตัดไม้ทำทำซุ้มให้นางคลอด แต่ก็ถูกงูฉกก้ดตาย
นางเศร้าโศกเสียใจมากโอกาสที่จะกลับไป ครองรักเรือนเดิมเป็นอันหมดสิ้นไป พอนางคลอดบุตรคนที่สองแล้ว จึงจูงบุตรคนโตอุ้มบุตรคนเล็กมุ่งกลับสู่เรือนมารดาบิตาของตน ระหว่างทาง ขณะข้ามแม่น้ำใหญ่ นางต้องอุ้มบุตรคนเล็กไปวางไว้ฝั่งข้างหน้าก่อน เสร็จแล้วจึงจะย้อนกลับมาอุ้มบุตรคนโตภายหลัง ขณะย้อนกลับมากลางแม่น้ำเหยี่ยวก็โฉบคาบเอาลูกคนเล็กของเธอไป นางตกใจหวังจะไล่เหยี่ยว นางจึงโบกไม้โบกมือพร้อมส่งเสียงตะโกนโหวกเหวก ฝ่ายบุตรคนโตก็สำคัญว่ามารดาเรียกตน เพราะความไร้เดียงสา จึงกระโจนส่งสู่แม่น้ำทันที กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากก็พัดพาหายลับไปทันที เพราะเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจเกิดติดๆกันนางก็เริ่มเบลอร้องให้คร่ำครวญไปว่า ”สามีของเราก็มาตายระหว่างทาง บุตรคนเล็กก็ถูกเหยี่ยวโฉบไป บุตรคนโตก็ถูกน้ำพัดไป” นางบ่นเพ้อเช่นนี้แล้วๆเล่าๆ จนมาถึงเมื่องสาวัตถี พอเขาบอกว่า มารดาบิดาพร้อมทั้งพีชายของนาง ถูกเรือนพังทับตาย เพราะฟ้าที่ผ่าลงมาเมื่อคืนตอนฝนตกหนัก เวลานี้ร่างของคนทั้งสามกำลังถูกเผาอยู่เชิงตะกอน เพียงแค่นี้เท่านั้น นางก็เสียสติเพราะยอมรับความจริงที่กระหน่ำซ้ำเติมเธอไม่ไหว หมดสติล้มทั้งยืน พอฟื้นขึ้นมาก็เป็นบ้าเลย. ขันติธรรมจึงมีประโยชน์และลักษณะดังได้กล่าวมาแล้วแล นางซัดเซเร่รอนเป็นคนบ้าไปจนถึงพระเชตวันมหาวิหารซึ่งในเวลานั้น
พระบรมศาสดาประทับแสดงธรรมอยู่ พระบรมศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นทางเดินมาแต่ไกล ก็ทรงดำริอยู่ในพระทัยว่า "หญิงนี้ ยกเว้นเราเสียแล้ว ก็ไม่มีใครอี่นที่สามารถจะเป็นที่พึ่งได้” จึงทรงกระทำโดยประการที่นางปฏาจารานั้นจะเดินมุ่งหน้าตรงมาวิหารด้วยพุทธานุภาพ ชาวบริษัทที่นั่งฟ้งธรรมอยู่ เห็นนางเดินเข้ามา ก็ร้องบอกกันว่า "พระบรมศาสดากำลังแสดงธรรมอย่าให้หญิงบ้านี้เข้ามานะ” พระบรมศาสดารับสังว่า “พวกท่านจงเปิดทางให้นาง อย่าได้ห้ามนางเลย” เมื่อนางเข้ามายืนอยู่ใกล้ เบื้องพระพักตร์แล้ว ก็ทรงตรัสปลอบประโลมด้วยพระมหากรุณาธิคุณว่า “เธอจงได้สติกลับคืนเถิด น้องหญิง” นางปฏาจาราอาศัยพุทธานุภาพ ได้ยินพระสุรเสียงไพเราะดุจเสียงหรหมที่ทรงเปล่งด้วยพระมหา กรุณาธิคุณนั้น ก็ได้สติกลับคืนมาในขณะนั้นนั่นเอง พอได้สติแล้ว ก็รู้ว่าตนไร้เสื้อผ้า เกิดความละอาย ก็ทรุดต้วลงนั่งยองๆ บุรุษท่านหนึ่งเปลื้องผ้าห่มโยนมาให้ นางนุ่งห่มผ้านั้นแล้วก็เข้าไปถวายบังคมทูล
พระบรมศาสดาถึงเรื่องราวที่พ่านมา พร้อมกับขอให้พระองค์เป็นที่พึงแก่นางด้วย พระบรมศาสดาทรงตรัสปลอบนางเพื่อให้คลายความเศร้าโศกเสียใจ จิตใจจักยอมรับความจริงได้หนักแน่นขึ้น ด้วยพรมหากรุณาธิคุณว่า "ดูก่อน ปฏาจารา เธออย่าได้คิดมากไปเลย เธอได้มาสู่สำนักของเราผู้สามารถเป็นที่พึ่งของเธอได้แน่นอน ก็ในส้งสารวัฏอันยาวนานนี้ น้ำตาของเธอที่ร้องให้ ในเวลาบุตรเป็นต้นตายไปดุจในบัดนี้นั้น มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 รวมกันเสียอีก” เมื่ทรงทราบว่า นางมีขันติธรรมเข้มแข็งสามารถรับรู้ความจริงได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็แสดงธรรมโปรดนาง ด้วยพระคาถาว่า "น สนฺติ ปุตตา ตาณาย” เป็นต้น จบพระธรรมเทศนานางก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน นี่คือขันติธรรมตามสภาวะที่เป็นลักษณะเฉพาะ หาใช่ตามที่เข้าใจกันไม่ จักเป็นไปได้เช่นไร ก็ในเมื่อตัวสภาวะที่เป็นองค์ธรรมก็ผิดอย่างเห็นประจักษ์ ต่อไปจะหาโอกาสสำทับสภาวะดังกล่าวด้วยการนำเสนอพระพุทธพจน์ที่เป็นขันติบารมีชัดๆเพิ่มให้เพื่อนสหธรรมิคได้เข้าใจยิ่งขึ้นครับ
จะเห็นได้ว่าการรู้เพียงพฤติกรรมไม่เป็นปรมัตถ์และสัจจะ เพราะไม่มีข้อที่ทนต่อการพิสูจน์ที่ชัดเจน(ปรมัตถ์) และข้อที่เป็น. สาธารณะแก่บุคคลทั่วๆไปที่ชัดเจน(สัจจะ) เหตุเพราะไม่มีองค์ประกอบทั้ง 4 กำกับนั้นเอง(สาระการรู้ระดับขั้นพฤติกรรมกับการรู้ระดับขั้น ปรมัตถ์และสัจจะต่างกันเช่นไร ? จากคัมภีร์นิสสยะ อักษรปัลลวะ, อักษรสิงหล)
ที่มา : http://dhamma.serichon.us
0 comments: