“อยากนิพพาน”อย่างไรเป็นฉันทะ? อย่างไรเป็นตัณหา?
“เมื่อเข้าใจความแตกต่างระหว่างตัณหากับฉันทะในเรื่องราวหรือในกิจทั่วๆ ไปแล้ว ก็จะเข้าใจด้วยว่า ความยินดี พอใจ ความต้องการ หรืออยากนิพพาน ในกรณีใดเป็น“ตัณหา” ในกรณีใดเป็น“ฉันทะ”
เมื่อบุคคลฟังธรรม เกิดความเข้าใจ มองเห็นโทษของกิเลสว่า โลภะ โทสะ โมหะ ทําให้จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมอง เป็นเหตุให้ทํากรรมชั่วต่างๆ ก่อความเดือดร้อนทั้งแก่ตนและผู้อื่น ถ้ากําจัดกิเลสเหล่านั้นได้แล้ว จิตใจจะสงบผ่องใส มีความสุข ไม่มีความเร่าร้อนกระวนกระวาย ดังนี้เป็นต้นแล้ว เขามองเห็นคุณค่าของความปราศจากกิเลส ความมีจิตปลอดโปร่ง สงบ ผ่องใสนั้นว่าเป็นภาวะดีงาม จิตใจของเขาก็ยินดี โน้มน้อมโอนไปหาภาวะนั้น อาการอย่างนี้คือสิ่งที่เรียกได้ว่า “ฉันทะ”
ภาวะจิตที่มีฉันทะอย่างนี้ ในบาลีท่านใช้ว่า ยินดี (อภิรม หรือ อภิรัต) ในนิพพานบ้าง ปรารถนา (อภิปัตถนา) นิพพานบทบ้าง ปรารถนาโยคเกษมธรรมบ้าง(อ่านเชิงอรรถ๑) จัดเป็นภาวะจิตที่เป็นกุศล และเป็นคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุนิพพาน แต่ถ้าคิดอยากได้นิพพาน อยากบรรลุนิพพาน หรืออยากเป็นผู้บรรลุนิพพาน โดยนึกขึ้นมาทํานองว่า นิพพานเป็นภาวะอย่างหนึ่ง สิ่งๆหนึ่ง หรือสถานที่แห่งหนึ่ง อันน่าปรารถนา ซึ่งตนจะได้เข้าไปครอบครอง เข้าถึง หรือเข้าไปอยู่ ในความคิดนั้นจะมีความรู้สึกหรือความเห็นซ่อนแฝงอยู่ด้วยว่า นิพพานนั้นจะอํานวยสุขเวทนาให้ตนได้เสพเสวย หรือว่าเป็นภาวะนิรันดร ที่ตนจะได้คงอยู่ยั่งยืน ตลอดจนกระทั่งว่าเป็นที่ขาดสูญ ซึ่งตัวตนจะได้หมดสิ้นไปเสียที ความยินดี ปรารถนา หรือต้องการนิพพานในกรณีเช่นนี้ จัดว่าเป็น“ตัณหา” และจะเป็นอุปสรรค ขัดขวางการบรรลุนิพพาน
แม้ความอยากเป็นพระอรหันต์ ก็มีคติอย่างเดียวกัน
อนึ่ง ความตอนนี้ชวนให้สังเกตเห็นอาการหรือลักษณะอีกอย่างหนึ่ง ที่แตกต่างกันระหว่าง ฉันทะ กับ ตัณหา กล่าวคือ ฉันทะต่อเนื่องกับการกระทําโดยตรง เป็นความพร้อม หรือเตรียมตัวที่จะทําการ หรือจะเข้าไปหาสิ่งต้องการ ซึ่งมองเห็นประจักษ์อยู่ในเวลานั้น
พูดได้ว่า ฉันทะเป็นส่วนหนึ่ง หรือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการกระทํานั้นทีเดียว โดยเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทํา หรือเป็นการเริ่มที่จะลงมือทํา ส่วนตัณหาเป็นความปรารถนาในสิ่งที่เป็นเสมือนว่าตั้งอยู่ห่างออกไปในที่ของมันเองแห่งหนึ่ง ต่างหากจากตัวผู้ปรารถนา ขาดตอนจากกัน ตัณหามีความเข้าใจเพียงมัวๆ มองเห็นสิ่งนั้นไม่ชัดเจน เพียงแต่หวังที่จะได้รับผลที่ต้องการจากสิ่งนั้น แล้วก็หาทางที่จะให้ได้สิ่งนั้นมา หรือเข้าครอบครองเสพเสวยสิ่งนั้น(อ่านเชิงอรรถ๒)”
(เชิงอรรถ๑) เรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็น นิพพานาภิรัต คือ ผู้ยินดีในนิพพาน (ขุ.สุ.๒๕/๓๐๒/๓๔๔); ว่าคนผู้ยินดีในนิพพาน ย่อมหลุดพ้นจากสรรพทุกข์ (ส.ส.๑๕/๑๗๕/๕๒); ว่าภิกษุผู้ไม่มัวเพลินงาน ไม่มัวเพลินการคุย การนอน การคลุกคลี การคิดฟุ้งผันพิสดาร ชื่อว่าเป็นผู้ยินดีในนิพพาน ละสักกายะเพื่อทําความจบสิ้นทุกข์ได้ (องฺ.ฉกฺก.๒๒/๒๘๕-๖/๓๒๘-๙); ว่าภิกษุผู้รู้จักข่มจิตในเวลาควรข่ม รู้จักประคองจิต ทําจิตให้ร่าเริง และเพ่งดูเฉย ในเวลาที่ควรทําเช่นนั้นๆ ชื่อว่าเป็นผู้ยินดีในนิพพาน สามารถบรรลุนิพพานได้ (องฺ.ฉกฺก.๒๒/๓๕๖/๔๘๖); พระเถรีกล่าวถึงตนเองยินดีในนิพพาน (ขุ.เถรี. ๒๖/๔๓๒/๔๔๙; ๔๗๔/๔๙๙); ว่าผู้ปรารถนานิพพาน จึงจะดําเนินชีวิตได้ด้วยดีในโลก (อยู่ไหนไปไหน ก็เป็นไปด้วยดี, ขุ. สุ.๒๕/๓๓๑/๓๙๖); ทรงสอนภิกษุผู้ปรารถนาโยคเกษมธรรม (ม.มู.๑๒/๓/๖); ทรงสอนให้ภิกษุทั้งหลายเป็นผู้มากด้วยปราโมทย์ ปรารถนาเกษมธรรม คือนิพพาน (ม.มู.๑๒/๓๙๑/๔๒๑).
(เชิงอรรถ๒) อรรถกถาและฎีกาบางแห่ง แสดงมติว่า ตัณหาเป็นความปรารถนาอารมณ์ที่ยังไม่มาถึง เสมือนการที่โจรเหยียดมือออกไปในที่มืด (วิสุทธิ.๓/๑๘๒; สงฺคห.ฎีกา. ๒๓๕)
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย” บทที่ ๒๑ หัวข้อ“ข้อพิจารณาเชิงซับซ้อน” หัวข้อย่อย“อยากนิพพาน อย่างไรเป็นฉันทะ อย่างไรเป็นตัณหา” พิมพ์เป็นเล่มเดียวอยู่หน้า ๑๐๔๕, พิมพ์แบ่งเป็น ๓ เล่ม อยู่เล่ม ๓ หน้า ๑๐๐๙
หนังสือ “พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย” โหลดไฟล์ pdf ที่นี่ https://www.watnyanaves.net/th/book_detail/583
0 comments: