กุหกชาตกํ - พูดดีได้เงินได้ทอง
"วาจาว กิร เต อาสิ, สณฺหา สขิลภาณิโน;
ติณมตฺเต อสชฺชิตฺโถ, โน จ นิกฺขสตํ หรนฺติ ฯ
ได้ยินว่า วาจาของท่านผู้พูดคำอ่อนหวานเป็นวาจาไพเราะ ท่านข้องอยู่ เพราะหญ้าเพียงเส้นเดียว แต่นำเอาทอง ๑๐๐ ลิ่มไปไม่ขัดข้อง."
กุหกชาดกอรรถกถา
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุผู้มักหลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า วาจาว กิร เต อาสิ ดังนี้.
เรื่องการหลอกลวง จักปรากฏแจ้งในอุททาลชาดก (ปกิณณกนิบาต เรื่องที่ ๔๘๗).
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุง พาราณสี ชฎิลโกงผู้หนึ่งเป็นดาบสหลอกลวง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง กุฎุมพีคนหนึ่ง ช่วยสร้างศาลาในป่าให้ดาบสนั้นให้ดาบสอยู่ในบรรณศาลา ปรนนิบัติด้วยอาหารอันประณีต ในเรือนของตน เขาเชื่อดาบสโกงนั้นว่า „ท่านผู้นี้เป็นผู้มีศีล“ นำเอาทองพันแท่งไปยังศาลาของดาบส ฝังไว้ในแผ่นดิน เพราะกลัวโจรกล่าวว่า „ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าพึงดูแลทองนี้ด้วย".
ครั้งนั้น ดาบสกล่าวกะเขาว่า „คุณ ! การพูดแบบนี้แก่พวกที่ได้นามว่าบรรพชิตไม่สมควรเลย ขึ้นชื่อว่าความโลภในสิ่งของของผู้อื่น ของพวกเราไม่มีเลย“ เขากล่าวว่า „ดีละ พระคุณเจ้าผู้เจริญ“ เชื่อถ้อยคำของดาบสแล้วหลีกไป ดาบสชั่วคิดว่า „เราอาจเลี้ยงชีพด้วยทรัพย์มีประมาณเท่านี้ได้“ ล่วงไปได้สองสามวัน ก็ยักเอาทองนั้นไปไว้ ณ ที่หนึ่งระหว่างทาง ย้อนมาเข้าไปยังบรรณศาลา
พอวันรุ่งขึ้น ทำภัตกิจในเรือนของกุฎุมพีแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า „ผู้มีอายุ พวกเราอาศัยท่านอยู่นานแล้ว ความพัวพันกันกับพวกมนุษย์ย่อมมี, ก็ธรรมดาว่า ความพัวพันเป็นมลทินของบรรพชิต เพราะฉะนั้น อาตมาจะขอลาไป“ แม้กุฏุมพีจะอ้อนวอนแล้ว ๆ เล่า ๆ ก็ไม่ปรารถนาจะกลับ. ครั้งนั้น กุฎุมพีจึงกล่าวกะดาบสว่า „เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็นิมนต์ไปเถิด พระคุณเจ้าข้า" ดังนี้แล้ว ตามไปส่งจนถึงประตูบ้านแล้วจึงกลับ.
ดาบสเดินไปได้หน่อยหนึ่ง คิดว่า „เราควรจะลวงกุฎุมพีนี้" ก็เอาหญ้าวางไว้ระหว่างชฎา ย้อนกลับไป กุฏุมพีถามว่า „พระคุณเจ้าผู้เจริญพระคุณเจ้ากลับมาทำไม ขอรับ ?“ ตอบว่า „ผู้มีอายุ หญ้าเส้นหนึ่ง เกี่ยวชฎาของฉันไป จากชายคาเรือนของพวกท่าน, ขึ้นชื่อว่าอทินนาทาน ไม่สมควรแก่บรรพชิต, อาตมาจึงรีบนำมันกลับมา“ กุฎุมพีกล่าวว่า „จงทิ้งมันเสีย“ แล้วนิมนต์ไปเถิดครับเสื่อมใสว่า „พระดาบสไม่ถือเอาสิ่งของ ๆ ผู้อื่น ซึ่งแม้เพียง เส้นหญ้า โอ พระคุณเจ้าของเรา เคร่งครัดจริง“ ดังนี้กราบแล้วส่งพระดาบสไป.
ก็ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ไปยังชนบทชายแดนเพื่อต้องการสิ่งของ อาศัยพักแรมในบ้านกุฎุมพีท่านฟังคำของดาบสแล้วคิดว่า „ดาบสร้ายผู้นี้ จักต้องถือเอาอะไร ๆ ของกุฎุมพีนี้ไปเป็นแน่“ จึงถามกุฎุมพีว่า „ดูก่อนสหาย ท่านได้ฝากฝังอะไร ๆ ไว้ในสำนักของดาบสนั้น มีหรือไม่ ?“ กุฎุมพีตอบว่า „มีอยู่สหาย, เราฝากฝังทองไว้ ๑๐๐ แท่ง.“ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า „ถ้าเช่นนั้นท่านจงรีบไปตรวจตราดูทองนั้นเถิด" เขาไปบรรณศาลาไม่เห็นทองนั้น รีบกลับมาบอกว่า „ทองไม่มีสหาย.“
พระโพธิสัตว์บอกว่า „ทองของท่านผู้อื่นไม่ได้เอาไปดอก, ดาบสร้ายนั้นคนเดียวเอาไป, มาเถิด เรามาช่วยกันติดตามจับดาบสนั้น“ แล้วรีบตามไป จับดาบสโกงได้ ทุบบ้าง เตะบ้าง ให้นำเอาทองมาคืนแล้วจับไว้. พระโพธิสัตว์เห็นทองแล้วกล่าวว่า „ดาบสนี่ขโมยทอง ๑๐๐ แท่งยังไม่ข้องใจ ไพล่มาข้องใจในเรื่องเพียงเส้นหญ้า“ เมื่อจะติเตียนดาบสนั้น กล่าวคาถานี้ว่า :- „น้อยหรือถ้อยคำของเจ้า ช่างสละสลวย พูดจาน่านับถือจริง ๆ, เจ้าข้องใจในวัตถุเพียงเส้นหญ้า แต่เมื่อขโมยทองร้อยแท่งไป ไม่ต้องใจเลยนะ.“
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วาจาว กิร เต อาสิ สณฺหาสขิลภาณิโน ความว่า เมื่อท่านกล่าวคำอ่อนหวานน่านับถืออยู่อย่างนี้ว่า การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แม้เพียงเส้นหญ้าก็ไม่ควรแก่พวกบรรพชิต ดังนี้ ถ้อยคำของท่านนั้นอ่อนหวานน้อยอยู่เมื่อไร อธิบายว่า คำพูดของท่านนั้น เกลี้ยงเกลาแท้ ๆ. บทว่า ติณมตฺเต อสชฺชิตฺโถ ความว่า ดูก่อนชฎิลโกงท่านทำความรำคาญ (เคร่ง) ในเส้นหญ้าเส้นเดียว ดูติดใจข้องใจเกาะเกี่ยวเสียจริง ๆแต่เมื่อท่านขโมยทอง ๑๐๐ แท่งนี้ ช่างไม่ติดใจ ช่างหมดข้อข้องใจเลยทีเดียว.
พระโพธิสัตว์ ครั้นติเตียนดาบสนั้น ด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ให้โอวาทแก่ดาบสว่า „ดูก่อนชฎิลโกง, ท่านอย่าได้ทำกรรมเห็นปานนี้ ต่อไปอีก" ดังนี้แล้ว ก็ไปตามยถากรรม.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุนี้เป็นผู้หลอกลวง, แม้ในกาลก่อนก็ได้เป็นผู้หลอกลวงแล้วเหมือนกัน“ ดังนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ดาบสโกงในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุหลอกลวงในครั้งนี้ ส่วนบุรุษผู้เป็นบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali
0 comments: