นิพพาน และ วัฏฏสงสาร มีในจิต
[ ถาม ] : เขากล่าวหาท่านอาจารย์ว่า สอนว่า ในจิตดวงเดียวกันนั่นเอง มีทั้งพระนิพพานและวัฏฏสงสาร. นี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรครับ?
[พุทธทาสภิกขุ ตอบ ] : นี่ ภาษาที่เราไม่ได้พูด เขาก็ว่าพูด, จิตเป็นดวงๆ นี้เราไม่พูด พูดแต่ว่าจิตนั้นน่ะมันมีภาวะที่รู้อะไรได้ รู้สึกอะไรได้ ตามความหมายของคําว่าจิต, คิดนึกก็ได้ รู้สึกอะไรก็ได้, ทีนี้ ด้วยจิตอันนี้แหละ ถ้ามันไปปรุงแต่งกันผิดเข้ามันก็เป็นวัฏฏสงสารขึ้นมา; หรือว่าด้วยจิตอันนี้แหละ ถ้าปฏิบัติถูกต้องมันก็เป็นพระนิพพานขึ้นมา ในจิตดวงเดียว ในจิตดวงเดียวในขณะเดียวจะมีทั้งสองอย่างไม่ได้ มันต้องเป็นคนละขณะจิตเสมอ.
..เมื่อเขาพูดว่าจิตดวงเดียว เราก็ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร ในดวงเดียวกันนั้นมีทั้งพระนิพพานและวัฏฏสงสาร: อย่างนี้เราไม่เคยพูด เราไม่ยอมรับและเราไม่เชื่อว่าอย่างนั้น แต่ว่าจิตนี้สามารถที่จะอบรมปรับปรุงแก้ไขอะไรให้มันมีวัฏฏสงสารก็ได้ ให้มันมีนิพพานก็ได้ ถ้ามันเป็นความร้อนขึ้นมามันก็เป็นความทุกข์ เป็นวัฏฏสงสาร คือจิตที่ประกอบไปด้วยอวิชชา, นำอวิชชาออกเสียก็จะหมดปัญหา ก็กลายเป็นจิตตรงกันข้าม คือเป็นจิตที่ไม่มีวัฏฏสงสาร มีแต่นิพพาน คือเมื่ออุปาทานว่าตัวเราๆ มันไม่มีเข้ามาเป็นเจ้าของจิต
มันก็เป็นหน้าที่ของจิตนั่นเอง ที่จะต้องทําหน้าที่ตามธรรมชาติของจิต. เมื่อมันเป็นจิตที่ทําผิด เสวยแต่ความทุกข์ นานๆเข้ามันก็เบื่อ มันก็ระอา; มันอยากจะไม่เป็นอย่างนั้น, มันก็ดิ้นรนไปในทางอื่น เปลี่ยนรูปไปในทางอื่น คือไม่ให้มีอวิชชาครอบงํา แล้วมันก็เป็นจิตชนิดที่ไม่มีความทุกข์, ฉะนั้น จิตที่ฉลาดที่ประกอบด้วยปัญญานี้ จะต้องควบคุมจิตที่โง่, อย่าให้เกิด “ตัวเรา” ขึ้นมาได้ในจิตที่เรียกว่า“ตัวเรา”นั่นแหละ, ถ้าไม่เรียกว่าตัวเราก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร จึงสมมติเรียกว่าคนเรา
คนเรามีจิต, จิตนี้เปลี่ยนไปได้ตามเหตุปัจจัย : ถ้าทําผิดในเรื่องนี้ก็เป็นไปในทางการเกิดทุกข์ เป็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายให้เกิดทุกข์ ถ้ามันรู้จักเข็ดหลาบมันรู้จักระวัง มันรู้จักเปลี่ยนแปลงโดยสัญชาตญาณของจิตนี้ มันก็หมุนมาทางตรงกันข้าม, มันก็ไม่เกิดอวิชชาและไม่เกิดทุกข์; เพราะว่าจิตฉลาดจะควบคุมจิตโง่หรือว่าทําลายจิตที่มันโง่ให้มันหมดไป. มันคล้ายกับว่าชิงกันครองเมือง, จิตฉลาดครองเมือง หรือว่าจิตโง่ครองเมือง ตัวเรานั้นไม่มี มีแต่จิตที่ชิงกันครองเมือง และทั้งเมืองและทั้งจิตนั่นแหละ เราสมมติเรียกว่าเรา มันก็เป็นเรื่องสมมติเท่านั้น
ทีนี้ จิตที่มันเป็นทุกข์ มันเอือมระอาต่อความทุกข์. เมื่อเบื่อระอาต่อความทุกข์ มันก็ดิ้นรนใหม่ เปลี่ยนแปลงใหม่, ไม่กล้าทําอย่างเดิมอีก ไม่กล้าทําอย่างที่มันจะเกิดความทุกข์นั้นอีก: นี่เรียกเป็นปัญญาๆๆ ปัญญาๆ ก้าวหน้าไปจนสามารถทําให้มันเป็นอย่างที่ตรงกันข้าม คือไม่มีทุกข์, นี่ทางออกเสียจากวัฏฏสงสาร ก็คือเหตุปัจจัยที่มาส่งเสริมปรุงแต่งจิตให้รู้จักทุกข์ให้เบื่อหน่ายระอาต่อความทุกข์ แล้วมันไม่ยอมเกิดหรือปรุงแต่งทํานองนั้นอีก มันก็เปลี่ยนมาในทางที่ดับทุกข์ จิตอย่างเดียวเป็นทั้งหมด : เป็นสุขก็ได้ เป็นทุกข์ก็ได้ จะสมมติเรียกอะไรก็ได้ จะอบรมให้เป็นไปในทางเป็นทุกข์ก็ได้ อบรมไปในทางให้ไม่ทุกข์ก็ได้,
ฉะนั้น การเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะแห่งกองทุกข์ มันก็คือจิตจะออกมาเสียจากวัฏฏะ คือกองทุกข์ มันก็คือจิต, ถ้าจิตยังเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์มันก็เป็นทุกข์; ถ้ามันออกมาเสียได้มันก็เป็นจิตหลุดพ้น เป็นวิมุติจิต. จิตวิมุติออกมาเสียจากกองทุกข์ หลุดรอดออกมาจากกองทุกข์ ออกมาจากวัฏฏสงสาร มันก็จิตอีกนั่นเอง จนกว่าจิตจะหมดเหตุหมดปัจจัยดับไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็เลิกกันมันจบที่ตรงนั้น
ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ของปุถุชนคนธรรมดาน่ะ คนโง่ ปุถุชนธรรมดานี้มันก็มีจิตนี้กลับไปกลับมา, กลับไปกลับมา : มีอวิชชาก็เดินไปในวัฏฏสงสาร. ฉลาดขึ้นมาก็หยุด หรือระวังไม่ให้เกิดวัฏฏสงสาร แล้วก็เป็นจิตพระอริยเจ้าเพิ่มขึ้นๆ คือไกลจากความเป็นปุถุชน ถอยห่างจากความเป็นปุถุชน.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : บรรยายธรรมในลักษณะ ถาม-ตอบ ในวาระที่ ๑ วันล้ออายุ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๓ จากหนังสือ “ธรรมะน้ำ ล้างธรรมะโคลน” หน้า ๑๐๐-๑๐๒
0 comments: