วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

มจฺฉชาตกํ - ว่าด้วยปลาขอฝน (คาถาขอฝน)

มจฺฉชาตกํ - ว่าด้วยปลาขอฝน (คาถาขอฝน)

"อภิตฺถนย ปชฺชุนฺน, นิธึ กากสฺส นาสย;   กากํ โสกาย รนฺเธหิ, มญฺจ โสกา ปโมจยาติ ฯ   ข้าแต่ฝน ขอท่านจงตกลงมาเถิด ขอจงทำลายขุมทรัพย์ของกาเสีย, จงทำกาให้เศร้าโศก, จงช่วยเปลื้องเราและพวกญาติๆ ให้พ้นจากความเศร้าโศกด้วยเถิด"

อรรถกถามัจฉชาดกที่ ๕

พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภฝนที่พระองค์ทรงบันดาลให้ตกลง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อภิตฺถนย ปชฺชุนฺนา ดังนี้. 

ดังได้สดับมา ในสมัยหนึ่ง ในแคว้นโกศล ฝนไม่ตกเลย. ข้าวกลาทั้งหลายเหี่ยวแห้ง ตระพัง สระโบกขรณีและสระในที่นั้น ๆก็เหือดแห้ง แม้โบกขรณีเชตวัน ณ ที่ใกล้ซุ้มพระทวารเชตวัน ก็ขาดน้ำ.  ฝูงกาและนกเป็นต้น รุมกันเอาจะงอยปากอันเทียบได้กับปากคีม จิกทึ้งฝูงปลาและเต่าอันหลบคุดเข้าสู่เปือกตม ออกมากินทั้ง ๆ ที่กำลังดิ้นอยู่. 

พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นความพินาศของฝูงปลาและเต่า พระมหากรุณา เตือนพระทัยให้ทรงอุตสาหะจึงทรงพระดำริว่า „วันนี้เราควรจะให้ฝนตก“ ครั้นราตรีสว่างแล้ว ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระเสร็จ ทรงกำหนดเวลาภิกษาจาร มีพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ด้วยพระพุทธลีลาภายหลังภัตรเสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว.   เมื่อเสด็จจากพระนครสาวัตถี สู่พระวิหาร ประทับยืนที่บันไดโบกขรณีเชตวัน ตรัสเรียกพระอานนท์เถรเจ้ามาว่า „ดูก่อนอานนท์ เธอจงเอาผ้าอาบน้ำมา เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน“.  พระอานนทเถรเจ้า กราบทูลว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำในโบกขรณีเชตวันแห้งขอด เหลือแต่เพียงเปือกตมเท่านั้น มิใช่หรือพระเจ้าข้า ?“ 

พระองค์ตรัสว่า „อานนท์ ธรรมดาว่า กำลังของพระพุทธเจ้าใหญ่หลวงนัก, เธอจงนำเอาผ้าอาบน้ำมาเถิด“ พระเถรเจ้าได้นำมาทูลถวาย พระศาสดาทรงนุ่งผ้าอุทกสาฎก ด้วยชายข้างหนึ่งอีกชายหนึ่งทรงคลุมพระสรีระ ประทับยืนที่บันได ตั้งพระทัยว่า เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน.  ทันใดนั้นเอง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะ ก็สำแดงอาการร้อน ท้าวเธอรำพึงว่า „อะไรเล่าหนอ?“ ทรงทราบเหตุนั้น จึงมีเทวบัญชาเรียกวลาหกเทวราชเจ้าแห่งฝนมาเฝ้าพลางตรัสว่า „พ่อเทพบุตร พระบรมศาสดาทรงตั้งพระทัยว่า เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน ประทับยืนอยู่ ณ บันได, เธอจงกระทำแคว้นโกศลทั้งสิ้น ให้มีเมฆพะยับพะโยมเป็นอันเดียวกัน บันดาลให้ฝนตกโดยเร็วเถิด“, 

วลาหกเทวราช รับเทวบัญชาแล้ว นุ่งก้อนเมฆก้อนหนึ่ง ห่มก้อนหนึ่ง ขับเพลงเมฆสังคีต๑ บ่ายหน้าไปทางโลกธาตุด้านตะวันออก เหาะไปแล้วณ ทิศาภาคตะวันออก ก็ปรากฏกลุ่มเมฆกลุ่มหนึ่ง มีขนาดเท่าลานนวดข้าว ซ้อนเป็นชั้น ๆตั้งร้อยชั้นพันชั้น คำรณคำรามฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนก็ตกลงมา ด้วยอาการประหนึ่งว่า คว่ำหม้อเทลงมา แคว้นโกศลทั้งสิ้น ท่วมท้นเหมือนห้วงน้ำไหลบ่าท่วมอยู่ฝนตกอยู่ไม่ขาดสาย ครู่เดียวเท่านั้น ก็เต็มสระโบกขรณีเชตวันน้ำท่วมจดถึงแคร่บันได. 

พระบรมศาสดาลงสรงในสระโบกขรณีเชตวันแล้วทรงครองผ้าสองชั้นสีแดง คาดรัดประคดทรงครองสุคตจีวรเฉวียงพระอังสา แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จพระดำเนินไป ประทับนั่งเหนือพระบวรพุทธาอาสน์ที่ปูลาดไว้ในบริเวณพระคันธกุฏีเมื่อภิกษุสงฆ์แสดงวัตรปฏิบัติแล้ว ก็เสด็จอุฏฐาการ ประทับยืนณ พื้นขั้นบันไดแก้วมณี ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์แล้วทรงส่งกลับไป เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฏีที่มีกลิ่นจรุงใจทรงบรรทมสีหไสยา ด้วยพระปรัศว์เบื้องขวา. 

ต่อเวลาเย็น พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภา ยกเรื่องขึ้นสนทนากันว่า „ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลายท่านทั้งหลายจงพระคุณสมบัติคือ ขันติ พระเมตตา และพระกรุณาของพระทศพล ในเมื่อข้าวกล้าต่าง ๆ กำลังเหี่ยวแห้ง ชลาลัยทุกแห่งก็เหือดหาย ฝูงปลาและเต่า ประสบทุกข์ใหญ่หลวง พระองค์ทรงอาศัยพระกรุณาทรงครองผ้าอุทกสาฎกด้วยมุ่งพระทัยจักให้มหาชนพ้นจากความทุกข์ ประทับยืน ณ บันไดขั้นแรกแห่งโบกขรณีเชตวัน ทรงบันดาลให้ฝนตก เหมือนห้วงน้ำใหญ่ไหลบ่าท่วมโกศลรัฐทุกส่วน โดยเวลาเพียงครู่เดียวทรงปลดเปลื้องมหาชนจากทุกข์กาย ทุกข์ใจแล้วเสด็จเข้าพระวิหาร“. 

พระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎี เสด็จมาสู่ธรรมสภา ตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?“ ครั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตทำให้ฝนตก, ในเมื่อมหาชนพากันลำบาก แม้ในกาลก่อนเมื่อตถาคตเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน แม้ในคราวเป็นราชาของฝูงปลาก็ได้ทำให้ฝนตกแล้วเหมือนกัน“ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-  ในอดีตกาล มีลำห้วยแห่งหนึ่ง ล้อมรอบด้วยชัฏแห่งเถาวัลย์ อยู่ตรงโบกขรณีเชตวันนี้ ณ เมืองสาวัตถี แคว้นโกศลนี้แหละ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดปลา มีฝูงปลาเป็นบริวารอยู่ในลำห้วยนั้น แม้ในคราวนั้น แคว้นนั้นฝนก็ไม่ตกเหมือนคราวนี้ ข้าวกล้าของพวกมนุษย์เหี่ยวแห้ง ในบึงเป็นต้นขาดน้ำ ฝูงปลาและเต่าพากันคุดเข้าเปือกตม. แม้ที่ลำห้วยนั้น ฝูงปลาก็พากันคุดเข้าโคลนตม ซุกซ่อนในที่นั้น ๆ ฝูงกาเป็นต้นก็พากันรุมจิกทึ้งออกมาจิกกินด้วยจะงอยปาก. พระโพธิสัตว์เห็นความพินาศของหมู่ญาติ ก็ดำริว่า „ผู้อื่นเว้นเราเสียแล้วใครเล่าที่จะได้ชื่อว่าสามารถปลดเปลื้องทุกข์ของพวกปลาเหล่านี้เป็นไม่มี, เราจักทำสัจจกิริยาให้ฝนตก ปลดเปลื้องฝูงญาติ จากทุกข์คือความตายให้จงได้“  แล้วแหวกตมสีดำออกพญาปลาใหญ่ สีกายเหมือนปุ่มต้นอัญชัน ลืมตาทั้งคู่ อันเปรียบได้กับแก้วมณี สีแดงที่เจียรนัยแล้ว มองดูอากาศ บรรลือเสียงกล่าวแก่เทวราชปัชชุนนะว่า 

„ข้าแต่พระปัชชุนนะผู้เจริญข้าพเจ้าอาศัยหมู่ญาติเดือดร้อนมาก ในเมื่อข้าพเจ้าผู้ทรงศีลลำบากอยู่ ทำไมท่านไม่ช่วยให้ฝนตกลงมาเล่า? ข้าพเจ้าบังเกิดในฐานะที่จะกัดกินพวกเดียวกัน แต่ก็ยังไม่เคยได้ชื่อว่ากัดกินมัจฉาชาติตั้งต้นแต่ปลาเล็กแม้มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร, ถึงสัตว์มีปราณอื่น ๆ เล่าข้าพเจ้าก็มิได้เคยแกล้งปลงชีวิตเลย, ด้วยสัจจวาจานี้ขอท่านจงให้ฝนตกลงมา ปลดเปลื้องหมู่ญาติของข้าพเจ้าจากทุกข์เทอญ“ เมื่อจะเรียกเทวราชปัชชุนนะ ประหนึ่งสั่งงานคนรับใช้กล่าวคาถานี้ว่า :-  „ข้าแต่พระปัชชุนนะท่านจงคำรณคำราม ให้ขุมทรัพย์ของกาพินาศไป จงทำลายฝูงกาด้วยความโศกและจงปลดเปลื้องข้าพเจ้าจากความโศกเถิด“. 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิตฺถนย ปชฺชุนฺน ความว่า เมฆเรียกกันว่า ท้าวปัชชุนะ ก็พญาปลานี้ เรียกวลาหกเทวราชเจ้าแห่งฝน ผู้ได้นามด้วยอำนาจแห่งเมฆ. ได้ยินว่า พญาปลานั้นมีความประสงค์ดังนี้ว่า ธรรมดาว่า ฝนไม่คำรณคำราม ไม่ให้สายฟ้าแลบแปลบปลาบ แม้จะตกกระหน่ำก็ไม่งาม เพราะฉะนั้น ท่านจงคำรณคำราม ให้สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ให้ฝนตกเถิด.   บทว่า นิธึ กากสฺส นาสย ความว่า ฝูงกาพากันจิกทึ้งฝูงปลาที่พากันคุดเข้าเปือกตมซุกอยู่ ออกมาด้วยจะงอยปากกินเป็นอาหาร เพราะเหตุนั้น ฝูงปลาที่คุดอยู่ในเปือกตม จึงเรียกว่า ขุมทรัพย์ของกาเป็นต้นเหล่านั้นเมื่อท่านให้ฝนตกปกปิดเสียด้วยน้ำแล้ว ก็เป็นอันทำลายขุมทรัพย์ของฝูงกานั้นเสีย.  บทว่า กากํ โสกาย รนฺเธหิ ความว่า ฝูงกาเมื่อลำห้วยมีน้ำเต็มแล้ว ไม่ได้ฝูงปลาเป็นอาหาร ก็ต้องเศร้าโศก เมื่อท่านกระทำให้ลำห้วยนี้เต็มเปี่ยม ก็เป็นอันทำลายฝูงกานั้นด้วยความโศกท่านจงยังฝนให้ตก เพื่อระงับความโศก คือเพื่อความโล่งใจของปลา. อธิบายว่า ฝูงกาจะถึงความเศร้าโศก อันมีลักษณะหม่นไหม้ในภายในได้ด้วยวิธีใดท่านโปรดกระทำวิธีนั้นเถิด. จ อักษร ในบทคาถาว่า มญฺจ โสกา ปโมจยนี้ มีการประมวลมาเป็นอรรถ ความก็ว่า ท่านโปรดให้ข้าพเจ้าและฝูงญาติทั้งหมด พ้นจากความเศร้าโศก อันเกิดแต่ความตายนี้เถิด.

พระโพธิสัตว์เรียกท้าวปัชชุนนะ เหมือนสั่งบังคับคนรับใช้อย่างนี้ ให้ฝนห่าใหญ่ตกทั่วแคว้นโกศล ให้มหาชนพ้นจากมรณทุกข์ ในปริโยสานกาลของชีวิตก็ได้ไปตามยถากรรม. 

พระบรมศาสดา จึงตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตยังฝนให้ตก แม้ในกาลก่อน ถึงเกิดในกำเนิดปลา ก็ให้ฝนตกแล้วเหมือนกัน“ ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า ฝูงปลาในครั้งนั้นได้มาเป็นพุทธบริษัท ปัชชุนนะเทวราชได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนพญาปลาได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali





Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: