คนอกตัญญูมองคนในแง่ร้าย
"อกตญฺญุสฺส โปสสฺส, นิจฺจํ วิวรทสฺสิโน; สพฺพํ เจ ปถวึ ทชฺชา, เนว นํ อภิราธเยติ ฯ ถ้าใครๆ จะพึงให้สมบัติในแผ่นดินทั้งหมดแก่คนอกตัญญู ผู้มีปกติมองหาโทษอยู่เป็นนิตย์ ก็ให้เขาพอใจไม่ได้"
อรรถกถาสีลวนาคชาดกที่ ๒
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อกตญฺญุสฺส โปสสฺส ดังนี้.
ความย่อว่า ภิกษุทั้งหลาย นั่งสนทนากันในโรงธรรมว่า „อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณของพระตถาคต“ พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?“ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู แม้ในครั้งก่อนก็เคยเป็นผู้อกตัญญูมาแล้ว ไม่เคยรู้คุณของเรา ไม่ว่า ในกาลไหน ๆ“ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้าง ในหิมวันตประเทศพอคลอดจากครรภ์มารดา ก็มีอวัยวะขาวปลอด มีสีเปล่งปลั่งดังเงินยวง นัยน์ตาทั้งคู่ของพระยาช้างนั้น ปรากฏเหมือนกับแก้วมณี มีประสาทครบ ๕ ส่วน ปากเช่นกับผ้ากัมพลแดงงวงเช่นกับพวงเงินที่ประดับระยับด้วยทอง เท้าทั้ง ๔ เป็นเหมือนย้อมด้วยน้ำครั่ง อัตภาพอันบารมีทั้ง ๑๐ ตกแต่งของพระโพธิสัตว์นั้น ถึงความงามเลิศด้วยรูปอย่างนี้.
ครั้งนั้น ฝูงช้างในป่าหิมพานต์ทั้งสิ้น มาประชุมกันแล้ว พากันบำรุงพระโพธิสัตว์ผู้ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว พระโพธิสัตว์จึงมีช้างแปดหมื่นเป็นบริวารอยู่อาศัยในหิมวันตประเทศ ด้วยประการฉะนี้ ภายหลังเห็นโทษในหมู่คณะ จึงหลีกออกจากหมู่ สู่ที่สงบสงัดกาย พำนักอาศัยอยู่ในป่าแต่ลำพังผู้เดียวเท่านั้น. และเพราะเหตุที่ช้างผู้พระโพธิสัตว์นั้นเป็นสัตว์มีศีล จึงได้นามว่าสีลวนาคราช พญาช้างผู้มีศีล. ครั้งนั้น พรานป่าชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง เข้าสู่ป่าหิมพานต์เสาะแสวงหาสิ่งของอันเป็นเครื่องยังชีพของตน ไม่อาจกำหนด ทิศทางได้ หลงทาง เป็นผู้กลัวแต่มรณภัย ยกแขนทั้งคู่ร่ำร้องคร่ำครวญไป. พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพรานผู้นั้นแล้ว อันความกรุณาเข้ามาตักเตือนว่า „เราจักช่วยบุรุษผู้นี้ให้พ้นจากทุกข์“ ก็เดินไปหาเขาใกล้ ๆเขาเห็นพระโพธิสัตว์แล้ววิ่งหนีไป. พระโพธิสัตว์เห็นเขาวิ่งหนี ก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้น บุรุษนั้นเห็นพระโพธิสัตว์หยุด จึงหยุดยืน พระโพธิสัตว์ก็เดินใกล้เข้าไปอีก เขาก็วิ่งหนีอีก เวลาพระโพธิสัตว์หยุด เขาก็หยุดแล้วดำริว่า „ช้างนี้ เวลาเราหนีก็หยุดยืน เดินมาหาเวลาที่เราหยุด เห็นทีจะไม่มุ่งร้ายเรา แต่คงปรารถนาจะช่วยเราให้พ้นจากทุกข์นี้เป็นแน่“ เขาจึงกล้ายืนอยู่. พระโพธิสัตว์เข้าไปใกล้เขาถามว่า "ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เหตุไรท่านจึงเที่ยวร่ำร้องคร่ำครวญไป“ เขาตอบว่า „ท่านช้างผู้จ่าโขลงข้าพเจ้ากำหนดทิศทางไม่ถูกหลงทาง จึงเที่ยวร่ำร้องไปเพราะกลัวตาย“.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์จึงพาเขาไปยังที่อยู่ของตน เลี้ยงดูจนอิ่มหนำด้วยผลาผล ๒-๓ วันแล้วกล่าวว่า „อย่ากลัวเลยข้าพเจ้าจักพาท่านไปสู่ถิ่นมนุษย์“ แล้วให้นั่งหลังตน พาไปส่งถึงถิ่นมนุษย์. ครั้งนั้นแล พรานป่าเป็นคนมีสันดานทำลายมิตร จึงคิดมาตลอดทางว่า „ถ้ามีใครถามต้องบอกได้“ ดังนี้ นั่งมาบนหลังพระโพธิสัตว์วางแผน กำหนด ที่หมายต้นไม้ ที่หมายภูเขาไว้ถ้วนถี่ทีเดียว. ครั้นพระโพธิสัตว์พาเขาออกไปจนพ้นป่าแล้ว หยุดที่ทางใหญ่ อันเป็นทางเดินไปสู่พระนครพาราณสี สั่งว่า „ดูก่อนท่านผู้เจริญท่านจงไปทางนี้เถิด แต่ถ้ามีใครถามถึงที่อยู่ของเราท่านอย่าบอกนะ“ ดังนี้ส่งเขาไปแล้ว ก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตน.
ครั้งนั้น บุรุษนั้น ไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว ก็ไปถึงถนนช่างสลักงา เห็นพวกช่างสลักงา กำลังทำเครื่องงาหลายชนิด จึงถามว่า „ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ถ้าได้งาช้างที่ยังเป็น ๆ ท่านทั้งหลายจะซื้อหรือไม่ ?“ พวกช่างสลักงาตอบว่า „ท่านผู้เจริญท่านพูดอะไร ธรรมดางาช้างเป็นมีค่ามากกว่างาช้างที่ตายแล้วหลายเท่า“. เขากล่าวว่า „ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าจักนำงาช้างเป็นมาให้พวกท่าน“ แล้วจัดสะเบียงคือเลื่อยไปสู่ที่อยู่ของพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์เห็นเขามาจึงถามว่า "ท่านมาเพื่อประสงค์อะไร ?“ เขาตอบว่า "ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลงข้าพเจ้าเป็นคนยากจนกำพร้า ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้ มาขอตัดงาท่านถ้าท่านจักให้ก็จะถืองานั้นไปขาย เลี้ยงชีวิตด้วยทุนทรัพย์นั้น". พระโพธิสัตว์กล่าวว่า „เอาเถิด พ่อคุณ เราจักให้งาท่านถ้ามีเลื่อยสำหรับตัดงา“ เขากล่าวว่า „ท่านผู้เป็นจ่าโขลงข้าพเจ้าถือเอาเลื่อยเตรียมมาแล้ว".
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงเอาเลื่อยตัดงาเถิดแล้วคุกเท้าหมอบลงเหมือนโคหมอบ เขาก็ตัดปลายงาทั้งคู่ของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จับงาเหล่านั้นด้วยงวง พลางตั้งปณิธาน เพื่อพระสัพพัญญุตญาณว่า „ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ใช่ว่า เราจะให้งาคู่นี้ด้วยคิดว่างาเหล่านี้ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของเราดังนี้ ก็หามิได้ แต่ว่า พระสัพพัญญุตญาณ อันสามารถจะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง เป็นที่รักของเรายิ่งกว่างาเหล่านี้ตั้งร้อยเท่าพันเท่า แสนเท่า การให้งานี้เป็นทานของเรานั้น จงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณเถิด“ แล้วสละงาทั้งคู่ให้ไป.
เขาถืองานั้นไปขาย ครั้นสิ้นทุนทรัพย์นั้น ก็ไปสู่สำนักพระโพธิสัตว์อีกกล่าวว่า „ดูก่อนท่านเป็นจ่าโขลง ทุนทรัพย์ที่ได้เพราะขายงาของท่านเพียงพอแค่ชำระหนี้ของข้าพเจ้าเท่านั้น โปรดให้งาส่วนที่เหลือแก่ข้าพเจ้าเถิด“. พระโพธิสัตว์ก็รับคำแล้วยอมให้เขาตัด ยกงาส่วนที่เหลือให้ โดยนัยเดียวกับครั้งก่อน. ถึงเขาจะขายงาเหล่านั้นแล้ว ก็ยังย้อนมาอีก กล่าวขอว่า „ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลงข้าพเจ้าไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้โปรดให้โคนงาแก่ข้าพเจ้าเถิด“. พระโพธิสัตว์รับคำแล้วก็หมอบลงโดยนัยก่อน. คนใจบาปนั้น ก็เหยียบงวงอันเปรียบเหมือนพวงเงินของมหาสัตว์ ก้าวขึ้นสู่กระพองอันเปรียบได้กับยอดเขาไกรลาสเอาส้นกระทืบพลายงาทั้งสอง ฉีกเนื้อตรงสนับงา ลงมาจากกระพอง เอาเลื่อยตัดโคนงาแล้ว ก็หลีกไป.
ก็ในเมื่อคนใจบาปนั้น เดินพ้นไปจากคลองจักษุของพระโพธิสัตว์เท่านั้น แผ่นดินอันทึบหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ ถึงจะสามารถทรงไว้ซึ่งของหนักแสนหนัก มีขุนเขาสิเนรุและยุคนธรเป็นต้นและถึงจะทรงไว้ซึ่งสิ่งที่น่าเกลียดมีกลิ่นเหม็น มีคูถและมูตรเป็นต้นก็เป็นเสมือนไม่สามารถจะทานไว้ได้ ซึ่งกองแห่งโทษมิใช่คุณของบุรุษนั้น จึงแยกให้ช่อง ทันใดนั้นเอง เปลวไฟแลบออกจากมหานรกอเวจี ห่อหุ้มคลุมบุรุษทำลายมิตรนั้น เป็นเหมือนคลุมด้วยผ้ากำพลสีแดง อันเป็นของที่ตระกูลให้ก็ปานกัน.
เวลาที่คนใจบาปเข้าไปสู่แผ่นดินอย่างนี้แล้ว รุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ ราวป่านั้น กำหนดเหตุว่า ถึงจะให้จักรพรรดิราชสมบัติ ก็ไม่อาจให้บุรุษผู้อกตัญญูนี้ ซึ่งเป็นผู้ทำลายมิตร พอใจได้ เมื่อจะแสดงธรรมให้กึกก้องไปทั่วป่า จึงกล่าวคาถานี้ว่า :- „ถึงหากจะให้แผ่นดินทั้งหมดแก่คนอกตัญญู ผู้คอยมองหาช่องอยู่เป็นนิตย์ ก็ไม่ทำให้เขาพอใจได้“.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกตญฺญุสฺส ความว่า แก่คนผู้ไม่รู้คุณที่คนอื่นทำแก่ตน. บทว่า โปสสฺส แปลว่า แก่บุรุษ. บทว่า วิวรทสฺสิโน ความว่า ผู้มองหาช่อง คือโอกาสอยู่ร่ำไป. บทว่า สพฺพญฺเจ ปฐวึ ทชฺชา ความว่า แม้ถ้าจักให้จักรพรรดิราชสมบัติทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่ง ถึงหากจะพลิกแผ่นดินใหญ่นี้ เอาง้วนดินมาให้แก่บุคคลเช่นนั้น. บทว่า เนว นํ อภิราธเย ความว่า ใคร ๆแม้ถึงจะกระทำอย่างนี้ได้ ก็ยังไม่อาจยังคนอกตัญญู ดังตัวอย่างที่ปรากฏ ผู้ทำลายคุณที่ท่านการทำแล้ว ให้อิ่มใจ หรือให้เลื่อมใสได้เลย. เทวดานั้นแสดงธรรมสนั่นไปทั่วป่า ด้วยประการฉะนี้.
พระโพธิสัตว์ดำรงอยู่ตราบสิ้นอายุขัยได้ไปตามยถากรรม. พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู ถึงในกาลก่อน ก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน“ ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า „บุรุษผู้ทำลายมิตรในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัต รุกขเทวดาได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนพระยาช้างผู้มีศีลได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล".
ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali
0 comments: