"สาธู สมฺพหุลา ญาตี, อปิ รุกฺขา อรญฺญชา; วาโต วหติ เอกฏฺฐํ, พฺรหนฺตมฺปิ วนปฺปตินฺติ ฯ มีญาติมากเป็นความดี, อนึ่ง ต้นไม้ที่เกิดขึ้นในป่าหลายต้นเป็นการดี, ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยว ถึงจะเป็นต้นไม้งอกงามใหญ่โตสักเท่าใด, ลมก็ย่อมพัดให้ล้มลงได้"
อรรถกถารุกขธัมมาดกที่ ๔
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงทราบความพินาศใหญ่ กำลังจะเกิดแก่พระญาติทั้งหลายของพระองค์ เพราะทะเลาะกันเรื่องน้ำ ก็เสด็จเหาะไปในอากาศประทับนั่งโดยบัลลังก์ เบื้องบนแม่น้ำโรหิณีทรงเปล่งรัศมีสีขาบ ให้พระญาติทั้งหลายสลดพระทัยแล้วเสด็จลงจากอากาศประทับนั่ง ณ ฝั่งแม่น้ำทรงปรารภการทะเลาะนั้น ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สาธุ สมฺพหุลา ญาตี ดังนี้.
ในชาดกที่ยกมานี้เป็นสังเขปนัย ส่วนวิตถานัยจักปรากฏแจ้งในกุณาลชาดก ก็และในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสเรียกพระญาติทั้งหลายมาตรัสว่า „มหาบพิตรทั้งหลายท่านทั้งหลายได้นามว่าเป็นญาติกัน ควรจะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกัน, เพราะว่า เมื่อพระญาติทั้งหลาย ยังสามัคคีกันอยู่ หมู่ปัจจามิตรย่อมไม่ได้โอกาส, อย่าว่า แต่หมู่มนุษย์เลย แม้ต้นไม้ทั้งหลายอันหาเจตนามิได้ ยังควรจะได้ความสามัคคีกัน, เพราะในอดีตกาลที่หิมวันตประเทศ มหาวาตภัยรุกรานป่ารัง แต่เพราะป่ารังนั้นเกี่ยวประสานกันและกันแน่นขนัดไปด้วยลำต้น กอพุ่มและลดาวัลย์ ไม่อาจจะให้ต้นไม้แม้ต้นเดียวโค่นลงได้ พัดผ่านไปตามยอด ๆ เท่านั้น,
แต่ได้พัดเอาไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ขึ้นอยู่บนเนินแม้จะสมบูรณ์ด้วยกิ่งก้าน ด่าคบไม้ล้มลงที่พื้นดิน ถอนรากถอนโคนขึ้น เพราะไม่เกี่ยวประสานกันกับต้นไม้อื่น ๆ ด้วยเหตุนี้จึงควรที่พวกท่านทั้งหลาย จะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกัน“, อันพระญาติเหล่านั้นกราบทูลอารธนา จึงทรงนำเรื่องในอดีต มาสาธกดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ท้าวเวสวรรณมหาราชที่ทรงอุบัติพระองค์แรกจุติ ท้าวสักกะทรงตั้งท้าวเวสสวรรณองค์ใหม่ ในคราวเปลี่ยนแปลงท้าวเวสสวรรณนี้ ท้าวเวสสวรรณองค์หลัง ส่งข่าวไปแก่หมู่เทพยดาว่า „จงจับจองต้นไม้ กอไผ่ พุ่มไม้และลดาวัลย์เป็นวิมานในสถานที่อันพอใจแห่งตน ๆเถิด“.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดา ณ ป่ารังแห่งหนึ่ง ในหิมวันตประเทศทรงประกาศบอกเทพที่เป็นหมู่ญาติว่า „เมื่อท่านทั้งหลายจะจับจองวิมาน จงอย่าจับจองที่ต้นไม้อันตั้งอยู่บนเนิน แต่จงจับจองวิมานที่ต้นไม้ตั้งล้อมรอบวิมานที่เราจับจองแล้ว ในป่ารังนี้เถิด“.
บรรดาเทวดาเหล่านั้นพวกที่เป็นบัณฑิต ก็กระทำตามคำของพระโพธิสัตว์ จับจองวิมานต้นไม้ที่ตั้งล้อมวิมานของพระโพธิสัตว์. ฝ่ายพวกที่มิใช่บัณฑิต ต่างพูดกันว่า „พวกเราจะต้องการอะไรด้วยวิมานในป่า จงพากันจับจองวิมานที่ประตูบ้าน นิคมและราชธานี ในถิ่นมนุษย์กันเถิด ด้วยว่า พวกเทวดาที่อยู่อาศัยบ้านเป็นต้น ย่อมประสบลาภอันเถิดและยศอันเลิศ“ แล้วพากันจับจองวิมานที่ต้นไม้ใหญ่ ๆ อันเกิด ณ ที่อันเป็นเนิน ในถิ่นมนุษย์.
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เกิดลมฝนใหญ่ แม้ถึงต้นไม้ที่ใหญ่ ๆในป่ามีรากมั่นคง ต่างมีกิ่งก้าน ค่าคบ หักล้มระเนระนาดทั้งรากทั้งโคนเพราะโต้ลมเกินไป. แต่พอถึงป่ารัง ซึ่งตั้งอยู่ชิดติดต่อกัน ถึงจะพัดกระหน่ำ ทุก ๆด้านไม่สร่างซา ก็ไม่อาจทำให้ต้นไม้ล้มได้สักต้นเดียว. หมู่เทวดาที่มีวิมานหักต่างก็ไม่มีที่ พำนัก พากันจูงมือเด็ก ๆ ไปป่าหิมพานต์ แจ้งเรื่องราวของตนแก่เทวดาผู้อยู่ในป่ารัง เทวดาเหล่านั้นก็พากันบอกเรื่องที่พวกเหล่านั้นพากันกระเซอะกระเซิงมาแด่พระโพธิสัตว์.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า „ขึ้นชื่อว่าผู้ที่ไม่เชื่อถือถ้อยคำของหมู่บัณฑิตแล้วพากันไปสู่สถานที่อันหาปัจจัยมิได้ ย่อมเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น“ เมื่อจะแสดงธรรม จึงกล่าวคาถา ความว่า :- „หมู่ญาติยิ่งมีมากได้ยิ่งดี, แม้ถึงไม้เกิดในป่าเป็นหมวดหมู่ได้เป็นดี, (เพราะ) ต้นไม้ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว แม้จะใหญ่โตเป็นเจ้าป่า, ย่อมถูกลมแรงโค่นได้.“
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺพหุลา ความว่า ญาตินับแต่ ๔ คนชื่อว่ามาก แม้ยิ่งกว่า นั้น ขนาดนับร้อย นับพันชื่อว่ามากมูล เมื่อหมู่ญาติมากมายอย่างนี้ ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอยู่ ก็ยิ่งดี คืองดงาม ประเสริฐสุด ศัตรูหมู่อมิตรจะกำจัดไม่ได้. บทว่า อปิ รุกฺขา อรญฺญชา ความว่า อย่าว่า แต่ชุมชนที่รวมกันเป็นหมู่มนุษย์เลย แม้ถึงต้นไม้ที่เกิดในป่าที่มีมากมายตั้งอยู่โดยอาการต่างฝ่ายต่างค้ำจุนสนับสนุนกันเป็นการดีแท้เพราะแม้ถึงต้นไม้ทั้งหลาย ก็ควรจะได้เป็นปัจจัยสนับสนุนกันและกัน. บทว่า วาโต วหติ เอกฏฺฐํ ความว่า ลมมีลมที่พัดมาแต่ทิศตะวันออกเป็นต้น พัดมา จะทำให้ต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนิน เด่นโดดเดี่ยว ลำพังต้นเดียว ถอนไปได้. บทว่า พฺรหนฺตมฺปิ วนปฺปตฺตึ ความว่า ลมย่อมพัดตัดไม้ใหญ่ แม้จะสมบูรณ์ด้วยกิ่งก้านและค่าคบ ให้หักโค่นถอนรากถอนโคนไปได้.
พระโพธิสัตว์ บอกกล่าวเหตุนี้ เมื่อสิ้นอายุ ก็ไปตามยถากรรม.
แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า „มหาบพิตรทั้งหลายหมู่ญาติควรจะต้องได้ความสามัคคีกันก่อนอย่างนี้ทีเดียว เพราะเหตุนั้น ท่านทั้งหลาย จงสมัครสมานปรองดองกัน อยู่กันด้วยความรักใคร่กลมเกลียวกันเถิด“ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า ฝูงเทพในครั้งนั้นได้มาเป็นพุทธบริษัทส่วนเทวดาเป็นบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali
0 comments: