วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

กาลกณฺณิชาตกํ - ว่าด้วยมิตร

กาลกณฺณิชาตกํ - ว่าด้วยมิตร

"มิตฺโต หเว สตฺตปเทน โหติ, สหาโย ปน ทฺวาทสเกน โหติ;   มาสฑฺฒมาเสน จ ญาติ โหติ, ตตุตฺตรึ อตฺตสโมปิ โหติ;  โสหํ กถํ อตฺตสุขสฺส เหตุ, จิรสนฺถุตํ  กาฬกณฺณึ ชเหยฺยนฺติฯ  บุคคลชื่อว่า เป็นมิตรด้วยการเดินร่วมกัน ๗ ก้าว, ชื่อว่าเป็นสหายด้วย  การเดินร่วมกัน ๑๒ ก้าว, และชื่อว่าเป็นญาติด้วยการอยู่ร่วมกันเดือนหนึ่ง หรือกึ่งเดือน, ส่วนผู้ชื่อว่ามีตนเสมอกันก็ด้วยการอยู่รวมกันยิ่งกว่านั้น, เราจะละทิ้งมิตร ชื่อว่ากาฬกัณณี ผู้ชอบกันมานาน เพราะความสุขส่วนตัวได้อย่างไร"

กาฬกัณณิชาดกอรรถกถา

พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภมิตรของท่านอนาถบิณฑิกะผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า มิตฺโต หเว สตฺตปเทน โหติ ดังนี้. 

ได้ยินว่า มิตรผู้นั้นได้เคยเป็นสหายร่วมเล่นฝุ่นมากับท่านอนาถบิณฑิกะ ทั้งเรียนศิลปะในสำนักอาจารย์เดียวกันโดยนามมีชื่อว่ากาฬกรรณี.  กาฬกรรณีนั้น เมื่อกาลล่วงผ่านไปก็เป็นผู้ตกยาก ไม่อาจเลี้ยงชีวิตได้ จึงไปยังสำนักของท่านเศรษฐีท่านเศรษฐีก็ปลอบสหาย ให้เสบียงแล้วมอบสมบัติของตนแบ่งให้ไป  เขาเป็นผู้ทำอุปการะแก่ท่านเศรษฐี ทำกิจการทุกอย่าง, เวลาที่เขามาสู่สำนักท่านเศรษฐี คนทั้งหลายพากันกล่าวว่า „หยุดเถิด กาฬกรรณี นั่งเถิดกาฬกรรณี กินเถิดกาฬกรรณี.“ 

อยู่มาวันหนึ่ง หมู่มิตรและอำมาตย์ของท่านเศรษฐี พากันเข้าไปหาท่านเศรษฐีแล้วพูดอย่างนี้ว่า „อย่าเลี้ยงเขาไว้ใกล้ชิดอย่างนี้เลยท่านมหาเศรษฐี เพราะแม้ยักษ์เองก็ยังต้องหนี, ด้วยเสียงนี้ว่า „หยุดเถิด กาฬกรรณี นั่งเถิดกาฬกรรณี กินเถิดกาฬกรรณี“, เขาเองก็มิได้เสมอกับท่านตกยาก เข็ญใจ, ท่านจะเลี้ยงคน ๆ นี้ไว้ทำไม?“ 

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกล่าวว่า „ธรรมดาว่า ชื่อเป็นคำเรียกร้อง หมู่บัณฑิตมิได้ถือชื่อเป็นประมาณ, ไม่ควรจะเป็นคนประเภทที่ชื่อว่าสุตมังคลิกะ (ถือมงคลจากเสียงที่ได้ยิน) เราไม่อาจอาศัยเหตุเพียงแต่ชื่อแล้วทอดทิ้งเพื่อนผู้เล่นฝุ่นมาด้วยกัน“ ดังนี้แล้ว มิได้ยึดถือถ้อยคำของพวกนั้น วันหนึ่งเมื่อจะไปบ้านส่วยของตนได้ตั้งเขาเป็นผู้รักษาเคหะสถาน. 

พวกโจรคบคิดกันว่าได้ข่าวว่า „เศรษฐีไปบ้านส่วย พวกเราระดมกันปล้นบ้านของเขาเถิด „พากันถืออาวุธต่าง ๆมาในเวลากลางคืน ล้อมเรือนไว้.  ฝ่ายกาฬกรรณี ระแวงการมาของพวกโจรอยู่ จึงนั่งเฝ้าไม่ยอมหลับนอนเลย ครั้นรู้ว่า พวกโจรพากันมา เพื่อจะปลุกพวกมนุษย์ จึงตะโกนว่า „เจ้าจงเป่าสังข์เจ้าจงตีกลอง“ ดังนี้แล้ว ทำให้เป็นเหมือนมีมหรสพโรงใหญ่ กระทำนิเวศน์ทั้งสิ้นให้มีเสียงสนั่นครื้นเครงตลอดไป. 

พวกโจรพากันพูดว่า „ข่าวที่ว่า เรือนว่างเปล่า พวกเราฟังมาเหลว ๆ ท่านเศรษฐียังคงอยู่“ แล้วต่างทิ้งก้อนหินและไม้พลองเป็นต้นไว้ตรงนั้นเอง หนีไปหมด.  รุ่งขึ้นพวกมนุษย์ เห็นก้อนหินและไม้พลองเป็นต้น ที่พวกโจรทิ้งไว้ในที่นั้น ๆ ต่างสลดใจไปตาม ๆ กัน พูดกันว่า „ถ้าวันนี้ไม่มีคนตรวจเรือน ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้ขนาดนี้แล้ว พวกโจรจักพากันเข้าได้ตามความพอใจ ปล้นเรือนได้หมดเป็นแน่ เพราะอาศัยมิตรผู้มั่นคงผู้นี้ ความจำเริญจึงเกิดแก่ท่านเศรษฐี" ต่างพากันสรรเสริญกาฬกรรณีนั้น เวลาที่เศรษฐีมาจากบ้านส่วย ก็พากันบอกเรื่องราวนั้นให้ทราบทุกประการ. ครั้งนั้น ท่านเศรษฐีได้พูดกับคนเหล่านั้นว่า „พวกเธอบอกให้เราไล่มิตรผู้รักษาเรือนอย่างนี้ไปเสีย ถ้าเราไล่เขาไปตามถ้อยคำของพวกเธอเสียแล้ว วันนี้ทรัพย์สินของเราจักไม่มีเหลือเลย, ธรรมดาว่า ชื่อไม่เป็นประมาณดอกจิตที่คิดเกื้อกูลเท่านั้นเป็นประมาณ“ ดังนี้แล้ว ให้ทรัพย์เป็นทุนแก่เขายิ่ง ๆ ขึ้นไปดำริว่า „บัดนี้ เรามีเรื่องที่จะเริ่มเป็นหัวข้อกราบทูลได้“ แล้วไปสู่สำนักพระศาสดากราบทูลเรื่องราวนั้นแต่ต้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. 

พระบรมศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนคฤหบดี มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่มิตรชื่อว่ากาฬกรรณี รักษาทรัพย์สินในเรือนแห่งมิตรของตนไว้, แม้ในครั้งก่อนก็รักษาแล้วเหมือนกัน“ ท่านเศรษฐีกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-  ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี #พระโพธิสัตว์ได้เป็นเศรษฐี มียศยิ่งใหญ่. ท่านเศรษฐีได้มีมิตรชื่อ กาฬกรรณี เรื่องราวทั้งหมดก็เหมือนกับเรื่องปัจจุบันนั่นแหละ.  พระโพธิสัตว์มาจากบ้านส่วยแล้วฟังเรื่องนั้นแล้วกล่าวว่า „ถ้าเราไล่มิตรเช่นนี้ออกไปเสียตามคำของพวกท่านแล้ว วันนี้ทรัพย์สมบัติของเราจักไม่มีอะไรเหลือเลย“ แล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-  „บุคคลชื่อว่าเป็นมิตรด้วยการเดินร่วม กัน ๗ ก้าว, ชื่อว่าเป็นสหายด้วยการเดินร่วมกัน ๑๒ ก้าว, และชื่อว่าเป็นญาติ ด้วยการอยู่ร่วมกัน เดือนหนึ่งหรือกึ่งเดือน, ส่วนผู้ชื่อว่ามีตนเสนอกัน ก็ด้วยการอยู่ร่วมกันยิ่งกว่านั้น, เราจะละทิ้งมิตรชื่อว่ากาฬกรรณี ผู้ชอบพอกันมานาน เพราะความสุขส่วนตัวได้อย่างไร ?“ 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หเว เป็นเพียงนิบาต. ที่ชื่อว่ามิตร เพราะอรรถว่า ประพฤติไมตรี อธิบายว่า เข้าไปตั้งไว้เฉพาะซึ่งไมตรีจิต กระทำความสนิทสนม ก็มิตรนั้นเป็นกันได้ด้วย ๗ ก้าวย่าง อธิบายว่า เป็นกันได้ด้วยเหตุเพียงเดินทางร่วมกัน ๗ ย่างก้าว.  บทว่า สทาโย ปน ทฺวาทสเกน โหติ ความว่า ที่ชื่อว่าสหาย เพราะอรรถว่า ไปร่วมกันในอิริยาบถทั้งปวง ด้วยอำนาจ แห่งการทำกิจทุก ๆอย่างร่วมกัน อธิบายว่า ก็แลสหายนั้นเป็นกันได้ด้วยเพียงย่างเท้าไป ๑๒ ก้าว.  บทว่า มาสฑฺฒมมาเสน ความว่า (อยู่ร่วมกัน) เดือนหนึ่งหรือกึ่งเดือน.  บทว่า ญาติ โหติ ความว่า ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เสมอญาติ.  บทว่า ตตุตฺตรึ ความว่า ด้วยการอยู่ร่วมกันยิ่งกว่า นั้นย่อมถือว่า เป็นผู้เสมอตนได้ทีเดียว.  บทว่า ชเหยฺยํ ความว่า เราจะทิ้งสหายผู้เช่นนี้ได้อย่างไรเล่า ? พระโพธิสัตว์กล่าวถึงคุณของมิตรนั่นแล ด้วยประการฉะนี้. ตั้งแต่นั้นมา ก็มิได้มีใคร ๆ ที่จะได้ชื่อว่ากล่าวละลาบละล้วง กาฬกรรณีนั้นอีกเลย.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า กาฬกรรณีในครั้งนั้นได้มาเป็นอานนท์ในครั้งนี้ส่วนพาราณสีเศรษฐีได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: