วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

วาตมิคชาตกํ - ว่าด้วยอำนาจของรส

วาตมิคชาตกํ - ว่าด้วยอำนาจของรส

"น  กิรตฺถิ  รเสหิ  ปาปิโย, 
อาวาเสหิ  ว [1)] สนฺถเวหิ  วา;
วาตมิคํ  คหนนิสฺสิตํ [2],  
วสมาเนสิ  รเสหิ  สญฺชโยติ ฯ

ได้ยินว่า สิ่งอื่นที่จะเลวยิ่งไปกว่ารสทั้งหลายไม่มี,  รสเป็นสภาพเลวแม้กว่าถิ่นฐาน และความคุ้นเคยกัน,  นายสัญชัยผู้เฝ้าอุทยาน นำเนื้อสมันซึ่งอาศัยอยู่ในป่าชัฏมาสู่อำนาจของตนได้ด้วยรสทั้งหลาย".

1) [วา (สพฺพตฺถ)]  2) [เคหนิสฺสิตํ (สี. ปี.)]

วาตมิคชาดกอรรถกถา

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภพระจูฬปิณฑปาติกตสสเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  น  กิรตฺถิ  รเสหิ  ปาปิโย  ดังนี้.

ได้ยินว่า เมื่อพระศาสดาทรงอาศัยพระนครราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน. วันหนึ่ง บุตรของตระกูลเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากชื่อว่าติสสกุมาร ไปพระวิหารเวฬุวัน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วประสงค์จะบวชจึงทูลขอบรรพชา แต่บิดามารดายังไม่อนุญาต จึงถูกปฏิเสธได้การทำการอดอาหาร ๗ วันแล้วให้บิดามารดาอนุญาต เหมือนดังพระรัฐบาลเถระได้บวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว.

พระศาสดาครั้นทรงให้ติสสกุมารนั้นบวชแล้ว ประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวันประมาณกึ่งเดือนแล้วได้เสด็จไปพระวิหารเชตวัน.  ในพระเชตวันนั้น กุลบุตรได้สมาทานธุดงค์ ๑๓ เที่ยวไปบิณฑบาตตามลำดับตรอกในนครสาวัตถี ยังกาลเวลาให้ล่วงไป, เมื่อมหาชนเรียกท่านว่า พระจูฬบิณฑปาติกติสสเถระ, ท่านจึงได้เป็นผู้ปรากฏรู้กันทั่วไปในพระพุทธศาสนาเหมือนพระจันทร์เพ็ญในพื้นท้องฟ้าฉะนั้น. 

ในกาลนั้น เมื่อกาลเล่นนักขัตฤกษ์ยังดำเนินไปในนครราชคฤห์ บิดามารดาของพระเถระเก็บสิ่งของอันเป็นเครื่องประดับอันมีอยู่ในครั้งพระเถระเป็นคฤหัสถ์ไว้ในผอบเงิน เอามาวางไว้ที่อกร้องไห้พลางพูดว่า "ในการเล่นนักขัตฤกษ์อื่นๆ บุตรของพวกเรานี้ ประดับด้วยเครื่องประดับนี้ เล่นนักขัตฤกษ์, พระสมณโคดมพาเอาบุตรน้อยนั้นของพวกเราไปยังพระนครสาวัตถี, บัดนี้ บุตรน้อยของเราทั้งหลายนั้น นั่งที่ไหนหนอ? ยืนที่ไหนหนอ?". 

ลำดับนั้น นางวัณณทาสีคนหนึ่งไปยังตระกูลนั้น เห็นภรรยาของเศรษฐีกำลังร้องไห้อยู่ จึงถามว่า „แม่เจ้าท่านร้องไห้ทำไม ?“. ภรรยาของเศรษฐีนั้นจึงบอกเนื้อความนั้น นางวัณณทาสีกล่าวว่า „แม่เจ้า ก็พระลูกเจ้ารักอะไร ?“. ภรรยาเศรษฐีกล่าวว่า „รักของสิ่งโน้นและสิ่งโน้น“.   

นางวัณณทาสีกล่าวว่า „ถ้าท่านจะให้ความเป็นใหญ่ทั้งหมดในเรือนนี้แก่ดิฉันไซร้ ดิฉันจักนำบุตรของท่านมา“. 

ภรรยาท่านเศรษฐีรับคำว่าได้แล้วให้สะเบียง ส่งนางวัณณทาสีนั้นไปด้วยบริวารใหญ่ โดยพูดว่า „ท่านจงไปนำบุตรของเรามา ด้วยความสามารถของตน“. 

ส่งนางวัณณทาสีนั้นนั่งในยานน้อยอันปกปิด ไปยังนครสาวัตถีถือเอาการอยู่อาศัยใกล้ถนนที่พระเถระเที่ยวภิกขาจาร ไม่ให้พระเถระเห็นพวกตนที่มาจากตระกูลเศรษฐี แวดล้อมด้วยบริวารของตนเท่านั้น 

เมื่อพระเถระเข้าไปบิณฑบาตได้ถวายยาคูหนึ่งกระบวยและภิกษามีรส ผูกพันด้วยความอยากในรสไว้แต่เบื้องต้นแล้วให้นั่งในเรือนถวายภิกษาโดยลำดับ รู้ว่า พระเถระตกอยู่ในอำนาจของตน จึงแสดงการว่า เป็นในนอนอยู่ภายในห้อง. 

ฝ่ายพระเถระเที่ยวไปตามลำดับตรอก ในเวลาภิกขาจารได้ไปถึงประตูเรือน ชนที่เป็นบริวารรับบาตรของพระเถระแล้วนิมนต์พระเถระให้นั่งในเรือน.

พระเถระนั่งแล้วถามว่า „อุบาสิกาไปไหน ?“. ชนบริวารกล่าวว่า „ท่านผู้เจริญอุบาสิกาเป็นไข้, ปรารถนาจะเห็นท่าน“, พระเถระถูกตัณหาในรสผูกพัน ทำลายการสมาทานวัตรของตน เข้าไปยังที่ที่นางวัณณทาสีนั้นนอนอยู่, นางวัณณทาสีรู้เหตุแห่งการมาเพื่อตน จึงประเล้าประโลมพระเถระนั้นผูกด้วยตัณหาในรส ให้สึกแล้วให้ตั้งอยู่ในอำนาจของตน ให้นั่งในยานได้ไปยังนครราชคฤห์นั้นเอง ด้วยบริวารใหญ่. ข่าวนั้นได้ปรากฏแล้ว. 

ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในโรงธรรมสภา สนทนากันขึ้นว่า „ได้ยินว่า นางวัณณทาสีคนหนึ่ง ผูกพระจูฬบิณฑปาติกาติกติสสเถระด้วยตัณหาในรสแล้วพาไปแล้ว“.

พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังโรงธรรมสภา ประทับบนอาสนะที่เขาตกแต่งไว้แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไร ? ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเรื่องราวนั้น.  พระศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ติดในรสตัณหา ตกอยู่ในอำนาจของนางวัณณทาสีนั้น ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ตกอยู่ในอำนาจของนางเหมือนกัน“,   แล้วทรงนำอดีตนิทานมาว่า :- 

ในอดีตกาล ในพระนครพาราณสีได้มีนายอุยยานบาลของพระเจ้าพรหมทัตชื่อว่าสัญชัย ครั้งนั้น เนื้อสมันตัวหนึ่งม้ายังอุทยานนั้น เห็นนายอุยยานบาลคนเฝ้าอุทยานจึงหนีไป. ฝ่ายนายสัญชัยมิได้ขู่คุกคามเนื้อสมันนั้นให้ออกไป เนื้อสมันนั้น จึงมาเที่ยวในอุทยานนั้นนั่นแลบ่อย ๆนายอุยยาน บาลนำเอาดอกไม้และผลไม้มีประการต่าง ๆมาจากอุทยานแต่เช้าตรู่ นำไป เฉพาะพระราชาทุกวัน ๆ. 

ครั้นวันหนึ่ง พระราชาตรัสถามนายอุยยานบาลนั้นว่า „ดูก่อนสหายอุยยานบาล เธอเห็นความอัศจรรย์อะไรๆ ในอุทยานบ้างไหม?“   นายอุยยานบาลกราบทูลว่า „ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระบาทไม่เห็นสิ่งอื่น แต่ว่า เนื้อสมันตัวหนึ่งมาเที่ยวอยู่ในอุทยาน ข้าพระบาทได้เห็นสิ่งนี้“.

พระราชาตรัสถามว่า  "ก็เธอจักอาจจับมันไหม ?“  นายอุยยานบาลกราบทูลว่า „ข้าพระบาทเมื่อได้น้ำผึ้งหน่อยหนึ่งจักอาจนำเนื้อสมันนี้มา แม้ยังภายในพระราชนิเวศน์พระเจ้าข้า“.

พระราชาได้ให้น้ำผึ้งแก่นายอุยยานบาลนั้น. นายอุยยานบาลนั้นรับน้ำผึ้งนั้นแล้วไปยังอุทยาน แอบเอาน้ำผึ้งทาหญ้าทั้งหลายในที่ที่เนื้อสมันเที่ยวไป. เนื้อสมันมากินหญ้าที่ทาด้วยน้ำผึ้ง ติดในรสตัณหา ไม่ไปที่อื่นมาเฉพาะอุทยานเท่านั้น. นายอุยยานบาลรู้ว่า เนื้อสมันนั้นติดหญ้าที่ทาด้วยน้ำผึ้ง จึงแสดงตนให้เห็นโดยลำดับ. 

เนื้อสมันนั้นครั้นเห็นนายอุยยานบาลนั้น๒-๓ วันแรกก็หนีไป แค่พอเห็นเข้าบ่อย ๆจึงคุ้นเคย ถึงกับกินหญ้าที่อยู่ในมือของนายอุยยานบาลได้โดยลำดับ. 

นายอุยยานบาลรู้ว่า เนื้อสมันนั้นคุ้นเคยแล้วจึงเอาเสือลำแพนล้อมถนนจนถึงพระราชนิเวศน์แล้วเอากิ่งไม้หักปักไว้ในที่นั้น ๆ สะพายน้ำเต้าบรรจุน้ำผึ้ง หนีบกำหญ้าแล้วโปรยหญ้าที่ทาด้วยน้ำผึ้งลงข้างหน้าเนื้อ.ได้ไปยังภายในพระราชนิเวศน์ทีเดียว เมื่อเนื้อเข้าไปภายในแล้ว คนทั้งหลายจึงปิดประตู เนื้อเห็นมนุษย์ทั้งหลายก็ตัวสั่นกลัวแต่มรณภัยวิ่งมาวิ่งไป ณ พระลานในภายในพระราชนิเวศน์ 

พระราชาเสด็จลงจากปราสาททอดพระเนตรเห็นเนื้อนั้นตัวสั่น จึงตรัสว่า „ธรรมดาเนื้อย่อมไม่ไปยังที่ที่คนเห็นตลอด ๗ วัน, ย่อมไม่ไปยังที่ที่ถูกคุกคามตลอดชีวิต, เนื้อสมันผู้อาศัยป่าชัฏอยู่เห็นปานนี้นั้นถูกผูกด้วยความอยากในรส มาสู่ที่เห็นปานนี้ในบัดนี้, ผู้เจริญทั้งหลายชื่อว่าสิ่งที่ลามกกว่า ความอยากในรส ย่อมไม่มีในโลกหนอ“,  แล้วทรงเริ่มตั้งธรรมเทศนาด้วยคาถานี้ว่า :- 

“ได้ยินว่า สิ่งอื่นที่จะเลวยิ่งไปกว่ารสทั้งหลายย่อมไม่มี, รสเป็นสภาพเลวยิ่งกว่าถิ่นที่อยู่ และกว่าความสนิทสนม, นายสัญชัยอุยยานบาลนำเนื้อสมันซึ่งอาศัยอยู่ในป่าชัฏมาสู่อำนาจของตนได้ ด้วยรสทั้งหลาย“. 

ศัพท์ว่า  กิร  (ได้ยินว่า) ในคาถานั้น เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่าได้ยินได้ฟัง.   บทว่า  รเสหิ  กว่า รสทั้งหลาย ความว่า กว่า รสหวานและรสเปรี้ยวเป็นต้น ที่พึงรู้ด้วยลิ้น.   บทว่า  ปาปิโย  แปลว่า เลวกว่า . 

บทว่า  อาวาเสหิ  วา  สนฺถเวหิ  วา  แม้กว่า ถิ่นที่อยู่ แม้กว่า ความสนิทสนม ความว่า ความกำหนัด ด้วยอำนาจความพอใจในถิ่นที่อยู่กล่าวคือสถานที่อยู่ประจำก็ดี ในความสนิทสนมด้วยอำนาจความเป็นมิตรก็ดี ลามกแท้ แต่รสในการบริโภคที่เป็นไปกับด้วยฉันทราคะนั่นแหละเป็นสภาพเลวกว่า แม้กว่า ถิ่นที่อยู่ แม้กว่า ความสนิทสนมด้วยความเป็นมิตร ซึ่งมีการบริโภคด้วยฉันทราคะเหล่านั้นโดยร้อยเท่าพันเท่า เพราะอรรถว่า ต้องเสพเฉพาะเป็นประจำและเพราะเว้นอาหาร การรักษาชีวิตินทรีย์ก็ไม่มี พระโพธิสัตว์ทรงกระทำเนื้อความนี้ ให้เป็นเสมือนเนื้อที่ตามมาด้วยดี จึงตรัสว่า „ได้ยินว่า สภาพที่เลวกว่า รสทั้งหลายย่อมไม่มีรสเป็นสภาพเลวกว่า แม้กว่า ถิ่นที่อยู่ แม้กว่า ความสนิทสนม“ บัดนี้พระโพธิสัตว์เมื่อจะแสดงว่า รสเหล่านั้นเลว จึงตรัสคำมีอาทิว่า วาตมิคํ ดังนี้ 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  คหนนิสฺสิตํ  แปลว่า อาศัยที่เป็นป่ารกชัฏท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ท่านทั้งหลายจงดูความที่รสทั้งหลายเป็นสภาพเลว นายสญชัยอุยยานบาลนำเนื้อสมันชื่อนี้ ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าชัฏ ในราวป่า มาสู่อำนาจของตนด้วยรสน้ำผึ้ง สิ่งอื่นที่เลวกว่า คือลามกกว่า ชื่อว่าเลวกว่า รสทั้งหลายชึ่งมีการบริโภคด้วยฉันทราคะ ย่อมไม่มีแม้โดยประการทั้งปวง.

พระโพธิสัตว์ตรัสโทษแห่งตัณหาในรส ด้วยประการดังนี้ ก็แหละครั้นตรัสแล้วจึงทรงให้ส่งเนื้อนั้นไปยังป่านั่นเอง.

พระศาสดาตรัสว่า „ภิกษุทั้งหลาย นางวัณณทาสีนั้น ผูกภิกษุนั้นด้วยตัณหาในรส กระทำไว้ในอำนาจของตนในบัดนี้ เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้กระทำแล้วเหมือนกัน“ 

ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้วทรงประชุมชาดกว่า “นายสัญชัยในครั้งนั้นได้เป็นนางวัณณทาสีคนนี้, เนื้อสมันในครั้งนั้นได้เป็นพระจูฬบิณฑปาติกภิกษุ, ส่วนพระเจ้าพาราณสีได้เป็นเราแล”.

Credit: Palipage : Guide to Language - Pali

22. กุกฺกุรชาตกํ - ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า , 21.  กุรุงฺคมิคชาตกํ - ว่าด้วยกวางกุรุงคะ , 20.  นฬปานชาตกํ  -  เหตุที่ไม้อ้อเป็นรูทะลุตลอด ,  19. อายาจิตภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยการเปลื้องตน , 18.  มตกภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ , 17. มาลุตชาตกํ - ว่าด้วยความหนาวเกิดแต่ลม , 16. ติปลฺลตฺถมิคชาตกํ - ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน , 15. ขราทิยชาตกํ - ว่าด้วยผู้ล่วงเลยโอวาท , 14.  วาตมิคชาตกํ - ว่าด้วยอำนาจของรส , 13. กณฺฑินชาตกํ - ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง , 12. นิคฺโรธมิคชาตกํ - ว่าด้วยการเลือกคบ , 11.  ลกฺขณมิคชาตกํ - ว่าด้วยผู้มีศีล , 10. สุขวิหาริชาตกํ - ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข , 09. มฆเทวชาตกํ - ว่าด้วยเทวทูต , 08. คามณิชาตกํ  - ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้ , 07. กฏฺฐหาริชาตกํ - ว่าด้วยพระเจ้ากัฏฐวาหนะ ,  06. เทวธมฺมชาตกํ  -  ว่าด้วยธรรมของเทวดา , 05. ตณฺฑุลนาฬิชาตกํ - ว่าด้วยราคาข้าวสาร,  04. จูฬเสฏฺฐิชาตกํ - ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้ , 03. เสริววาณิชชาตกํ - ว่าด้วยเสรีววาณิช , 02. วณฺณุปถชาตกํ - ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน , 01. อปณฺณกชาตกํ - ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ 

ภาพ :  "พระมหาอุโบสถไม้แดง" วัดพระพุทธแสงธรรม 

ที่ วัดพระพุทธแสงธรรม สำนักปฎิบัติแสงธรรมส่องชีวิตแห่งใหม่ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี  อยู่ติดถนนพหลโยธิน ผู้ที่เดินทางไปอีสาน จะต้องผ่านหน้าวัดพระพุทธแสงธรรม บรรยากาศสงบ เหมาะกับการปฏิบัติธรรม






ภาพ : "มหาวิหารทรงบาตรคว่ำ" วัดพระพุทธแสงธรรม อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี 

มหาวิหารทรงบาตรคว่ำ ที่ครอบพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่ เป็นโดมยักษ์สร้างจากโครงเหล็ก วัดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม มีชื่อว่า แสงธรรมส่องชีวิต อยู่ท่ามกลางความเงียบสงบ บนพื้นที่กว่า 300 ไร่





Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: