กุสินารานี้แต่ปางก่อนเคยเป็นเมืองมั่งคั่งรุ่งเรือง
[ณ ป่าสาลวัน ใกล้กรุงกุสินารา หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวชื่นชมพระอานนท์ให้ภิกษุทั้งหลายฟังแล้ว พระอานนท์ได้พูดกับพระพุทธเจ้าว่า]
อ: ท่านอย่าปรินิพพานในกิ่งเมืองเล็กๆนี้เลย เมืองใหญ่ๆก็มีอย่างจัมปา ราชคฤห์ สาวัตถี สาเกต โกสัมพี หรือพาราณสี ขอท่านปรินิพพานในเมืองเหล่านี้เถิด กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีมากมายที่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ในเมืองเหล่านี้ ท่านเหล่านั้นจะสักการะบูชาพระสรีระของท่าน
พ: อย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดว่ากุสินาราเป็นกิ่งเมืองเล็กๆเลย
แต่ปางก่อน มีพระจักรพรรดินามว่ามหาสุทัสสนะ เป็นพระราชาผู้ทรงธรรม เป็นผู้พิชิตถึงมหาสมุทรทั้งสี่ด้าน มีอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ (จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ขุนคลังแก้ว และขุนพลแก้ว)
เมืองกุสินารานี้ เคยมีนามว่ากุสาวดี เป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ยาว 12 โยชน์ (1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร) ตั้งแต่ตะวันออกไปตะวันตก กว้าง 7 โยชน์ตั้งแต่เหนือจรดใต้ เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรือง มีคนอยู่หนาแน่น อาหารการกินหาง่าย เหมือนดั่งอาลกมันทา ราชธานีของเทพเจ้าทั้งหลาย
กุสาวดีราชธานี ไม่เคยเงียบจากเสียงทั้ง 10 ตลอดกลางวันและกลางคืน คือ เสียงช้าง ม้า รถ กลอง ตะโพน (กลองสองหน้าขึงด้วยหนัง) พิณ เพลงร้อง กังสดาล (ระฆังวงเดือนทำด้วยโลหะ) ประโคม (แตรสังข์บรรเลง) และเสียงร้องป่าวเชิญชวนว่าท่านทั้งหลายจงดื่มกินลิ้มรสเป็นเสียงที่สิบ
ไปเถิดอานนท์ เธอจงเข้าไปในเมืองกุสินารา แล้วบอกพวกมัลลกษัตริย์แห่งกุสินาราว่า ‘วาสิฏฐะ (คำเรียกมัลลกษัตริย์) ทั้งหลาย พระตถาคตจะปรินิพพานในปัจฉิมยาม (ช่วงตีสองถึงหกโมงเช้า) ของคืนวันนี้แล้ว พวกท่านจงรีบไปเถิด อย่าได้เสียใจในภายหลังว่า พระตถาคตปรินิพพานในเขตเมืองของเรา แต่กลับไม่ได้ไปพบพระตถาคตเป็นครั้งสุดท้าย’
[พระอานนท์รับคำของพระพุทธเจ้า ห่มจีวรและถือบาตรเข้าไปในเมืองกุสินาราแต่เพียงลำพังผู้เดียว ซึ่งเมื่อเหล่ามัลลกษัตริย์จำนวนมากมาถึงแล้ว พระอานนท์ก็จัดให้เข้าพบพระพุทธเจ้าเป็นกลุ่มๆตามลำดับสกุล จึงทำให้เข้าพบได้ครบทั้งหมดภายในปฐมยาม (ช่วงหกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม) เท่านั้น]
_____
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 13 (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ภาค 2 เล่ม 1 มหาปรินิพพานสูตรที่ 3 ตรัสเรื่องเมืองกุสินารา-แจ้งข่าวมัลลกษัตริย์), 2559, น.306-308
โอวาทปาติโมกข์ , แว่นธรรม-แว่นมองอนาคตตัวเอง, ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว , วิหารทาน เป็นทานอันเลิศ ที่พระบรมศาสดาทรงสรรเสริญ , แผ่เมตตาแก่ช้างนาฬาคิรี , ให้มีสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้ตัวอยู่ทุกขณะ , จงมีธรรมและตนเองเป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย , พระพุทธเจ้าปลงสังขาร , ปัจฉิมโอวาท , ธรรมที่พระพุทธเจ้าย้ำก่อนปรินิพพาน , เมื่อได้ยินอะไรมาให้ตรวจสอบเทียบเคียงกับพระสูตรและพระวินัย , อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า, คืนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า , บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ใหญ่ 2 คราว , ใครที่ได้มาสังเวชนียสถานด้วยจิตเลื่อมใส เมื่อตายไปจะเข้าถึงสุคติ , วิธีปฏิบัติต่อสตรีและพระพุทธสรีระ , สอนพระอานนท์เป็นครั้งสุดท้าย , ชื่นชมพระอานนท์ , ควรเปิดใจรับฟังคำว่ากล่าวตักเตือนได้ - พระฉันนะผู้ว่ายาก
0 comments: