วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ควรเปิดใจรับฟังคำว่ากล่าวตักเตือนได้ - พระฉันนะผู้ว่ายาก

ควรเปิดใจรับฟังคำว่ากล่าวตักเตือนได้

[ณ วัดโฆสิตาราม ใกล้กรุงโกสัมพี ภิกษุได้เตือนพระฉันนะที่ประพฤติไม่เหมาะสม แต่พระฉันนะโต้กลับว่าพวกท่านเป็นใครมาว่าเรา เราต่างหากที่จะว่ากล่าวท่านได้ ด้วยเพราะถือตัวว่าเป็นคนตามพระพุทธเจ้าสมัยที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธิทัตถะออกบวชพร้อมม้ากัณฐกะ เหล่าภิกษุจึงไปเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง]

พระพุทธเจ้า :  ฉันนะ ได้ข่าวว่าเธอไม่ยอมให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือน จริงหรือเปล่า?

ฉ :  จริงท่าน

พระพุทธเจ้า :  การกระทำของเธอไม่เหมาะไม่ควร ใช้ไม่ได้ ทำไมไม่ยอมให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนเมื่อเธอทำตัวไม่ดี เธอทำให้คนเขาเสื่อมศรัทธา

ภิกษุทั้งหลาย อย่าได้ทำตัวให้เป็นคนที่ใครๆว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้ เพราะหมู่คณะจะเจริญได้ ก็ด้วยการว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน

______

ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 3 (พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค 1 เล่ม 3 และภาค 2 เล่ม 1 เตรสกัณฑ์), 2559, น.565-568

เรื่องเล่าในพระธรรมบท  พระฉันนะผู้ว่ายาก

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระฉันนเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น  ภเช  ปาปเก มิตฺเต"  เป็นต้น.

ท่านพระฉันนะ เคยเป็นนายสารถี ตามเสด็จเจ้าชายสิทธัตถะ ในวันออกมหาภิเนษกรมณ์(ออกบวช) เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น ฉันนะก็ได้ตามมาบวชเป็นพระภิกษุ แต่เมื่อมาบวชเป็นภิกษุแล้วพระฉันนะกลายแป็นพระหัวดื้อ และมีทิฐิมานะมากโดยทะนงตัวว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับพระศาสดา พระฉันนะเคยกล่าว่า  “เราเมื่อตามเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ กับพระลูกเจ้าของเราทั้งหลายในเวลานั้น มิได้เห็นผู้อื่นแม้สักคนเดียว แต่บัดนี้ ท่านพวกนี้เที่ยวกล่าวว่า เราชื่อสารีบุตร เราชื่อโมคคัลลานะ พวกเราเป็นอัครสาวก”

เมื่อพระศาสดาทรงสดับข่าวนั้น จึงได้รับสั่งให้พระฉันนเถระมาเฝ้า แล้วทรงอบรมสั่งสอน ฉันนเถระได้แต่นิ่งเงียบแต่ก็ยังกลับไปด่าว่าพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเหมือนเดิม พระศาสดารับสั่งให้พระฉันนเถระมาตรัสสอนแบบเดียวนี้ถึง 3 ครั้ง  ตรัสเตือนว่า “ฉันนะ อัครสาวกทั้งสองเป็นกัลยาณมิตร เป็นบุรุษชั้นสูงของเธอ, เธอจงเสพ จงคบกัลยาณมิตรเห็นปานนี้”  ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า  :-

น  ภเช  ปาปเก  มิตฺเต,         น  ภเช  ปุริสาธเม;  
ภเชถ  มิตฺเต  กลฺยาเณ,       ภเชถ  ปุริสุตฺตเม.

บุคคลไม่ควรคบปาปมิตร ไม่ควรคบบุรุษต่ำช้า   
ควรคบกัลยาณมิตร ควรคบบุรุษสูงสุด.

แก้อรรถ               

เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า "คนผู้ยินดีในอกุศลกรรม มีกายทุจริตเป็นต้น ชื่อว่าปาปมิตร, คนผู้ชักนำในเหตุอันไม่สมควร มีการตัดช่องเป็นต้นก็ดี อันต่างโดยการแสวงหาไม่ควร ๒๑ อย่างก็ดี  ชื่อว่าบุรุษต่ำช้า.  อนึ่ง ชน ๒ จำพวกนั้น ชื่อว่าเป็นทั้งปาปมิตร ทั้งบุรุษต่ำช้า, บุคคลไม่ควรคบ คือไม่ควรนั่งใกล้เขาเหล่านั้น, ฝ่ายชนผู้ผิดตรงกันข้าม ชื่อว่าเป็นทั้งกัลยาณมิตร ทั้งสัตบุรุษ, บุคคลควรคบ คือควรนั่งใกล้ท่านเหล่านั้น.  ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นแล้ว.

พระศาสดาตรัสสั่งให้ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ

แม้ว่าจะถูกพระศาสดาว่ากล่าวตักเตือนอย่างไร พระฉันนเถระก็ยังไม่ยอมกลับตัวกลับใจ และยังคงด่าว่าพระอัครสาวกทั้งสองและพระภิกษุทั้งหลายอยู่ต่อไป พระศาสดาทรงทราบเช่นนี้ได้ตรัสว่า พระฉันนเถระจะไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระหว่างที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ แต่หลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้วพระฉันนเถระจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้แน่ ในเวลาจวนจะเสด็จปรินิพพาน พระศาสดาได้ตรัสเรียกพระอานนท์มาเฝ้าแล้วตรัสให้ภิกษุสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนเถระ (คือให้ภิกษุทั้งหลายเมินเฉยไม่สมาคมด้วย)

เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว พระฉันนเถระได้ฟังพรหมทัณฑ์ ที่พระอานนทเถระยกขึ้นมากล่าว มีความทุกข์ เสียใจ ล้มสลบถึง 3 ครั้ง แล้ว แล้ววิงวอนว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านอย่าให้กระผมฉิบหาบเลย” ท่านได้ยอมรับผิดและได้ขอขมาต่อภิกษุทั้งหลาย จากนั้นไม่นานท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.

ที่มา : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=16&p=3

เรื่องไม้ชำระฟัน  , โอวาทปาติโมกข์ ,  แว่นธรรม-แว่นมองอนาคตตัวเอง,  ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว , วิหารทาน เป็นทานอันเลิศ ที่พระบรมศาสดาทรงสรรเสริญ แผ่เมตตาแก่ช้างนาฬาคิรี , ให้มีสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้ตัวอยู่ทุกขณะ , จงมีธรรมและตนเองเป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย , พระพุทธเจ้าปลงสังขาร ,  ปัจฉิมโอวาท  ธรรมที่พระพุทธเจ้าย้ำก่อนปรินิพพาน , เมื่อได้ยินอะไรมาให้ตรวจสอบเทียบเคียงกับพระสูตรและพระวินัย , อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า,  คืนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า , บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ใหญ่ 2 คราว , ใครที่ได้มาสังเวชนียสถานด้วยจิตเลื่อมใส เมื่อตายไปจะเข้าถึงสุคติ , วิธีปฏิบัติต่อสตรีและพระพุทธสรีระ , สอนพระอานนท์เป็นครั้งสุดท้าย , ชื่นชมพระอานนท์





Previous Post
Next Post

0 comments: