ระยะทางของพระพุทธศาสนา
ยิ่งนานมาก็ยิ่งผันแปรไป
ผู้เข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะในฐานะเป็นคฤหัสถ์หรือในฐานะเป็นบรรพชิต เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็มักจะแสดงความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอันเกี่ยวด้วยหลักพระธรรมวินัยอันเป็นตัวพระศาสนาออกมาให้สังคมได้รู้ได้เห็น
ถ้าความเห็นนั้นถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัย ก็ไม่เป็นปัญหา
แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ ความเห็นที่ไม่ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัย
กรณีการแสดงความเห็น หรือประกาศความเห็นของตนออกไปให้สังคมรับรู้ แล้วปรากฏว่าความเห็นนั้นไม่ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัย จะทำอย่างไรกัน ประเด็นนี้แหละที่น่าศึกษา
ตามที่ได้ศึกษาสังเกตมา ผมเห็นว่าผู้ที่แสดงความเห็นออกไป แล้วความเห็นนั้นไม่ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัย จะมีลักษณะ อาการ หรือท่าทีที่พอจะแบ่งเป็นระยะๆ ได้ดังต่อไปนี้
ระยะที่ ๑
หมายถึงในยุคสมัยแรกๆ ต้นๆ ที่มีผู้ที่แสดงความเห็นไม่ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัยออกมา ในยุคแรกๆ นั้นเมื่อมีใครทักท้วงขึ้น อ้างหลักฐานว่าความเห็นเช่นนั้นไม่ถูกต้อง ผู้แสดงความเห็นจะยอมรับฟัง และในที่สุดจะยอมรับโดยดีว่าความเห็นของตนผิดไป และขอถอนความเห็นเช่นนั้น
ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระวินัย ทำอะไรลงไปแล้วมีผู้ทักท้วงว่าผิด ก็จะสะดุ้งกลัว และจะไม่ทำอีกเพราะรู้แล้วว่าทำแบบนั้นผิด
ระยะที่ ๒
ครั้นล่วงกาลผ่านเวลาต่อมา เมื่อมีความเห็นที่ไม่ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัยปรากฏออกมาอีก แล้วมีผู้ทักท้วงขึ้น อ้างหลักฐานว่าความเห็นเช่นนั้นไม่ถูกต้อง ผู้แสดงความเห็นจะไม่ยอมรับฟังและไม่ยอมรับทันทีว่าความเห็นของตนผิด แต่จะพยายามตรวจสอบหลักฐานต่างๆ การตรวจสอบหลักฐานนั้นไม่ใช่เพราะต้องการจะได้ความรู้ หากแต่เพราะต้องการจะหาข้ออ้างเอามายืนยันว่าความเห็นของตนไม่ผิด แต่เมื่อไม่พบหรือไม่มีหลักฐานที่จะเอามายืนยันได้ ในที่สุดก็จะยอมรับว่า ความเห็นของตนผิดไป และขอถอนความเห็นเช่นนั้น
ข้อเปรียบเทียบก็คือ -
ระยะที่ ๑ ยอมรับทันทีเพราะมีหลักฐานว่าผิด
ระยะที่ ๒ ไม่ยอมรับทันที พยายามจะเถียงแย้ง แต่เมื่อจำนนด้วยหลักฐานจึงยอมรับ
ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระวินัย ทำอะไรลงไปแล้วมีผู้ทักท้วงว่าผิด จะยังไม่ยอมรับทันที แต่จะพยายามหาช่องโต้แย้งว่าไม่ผิด เมื่อไม่มีช่อง จึงยอมรับว่าผิดจริง และพยายามระวังที่จะไม่ทำ (แต่ถ้าจำเป็นก็ทำอีก)
ระยะที่ ๓
เหตุการณ์เริ่มต้นเหมือนกัน แต่ในระยะนี้แม้จะยอมจำนนด้วยหลักฐานว่าความเห็นของตนนั้นผิดพลาดจริง แต่ก็จะไม่ยอมแก้ไข คือยังคงยึดความเห็นผิดอยู่เช่นนั้น รู้ว่าผิด เถียงไม่ขึ้น แต่ไม่ยอมปล่อย ใช้วิธีดื้อนิ่ง
เทียบกับระยะที่ ๑ และที่ ๒ เมื่อจำนนด้วยหลักฐานว่าความเห็นนั้นผิด ก็จะยอมรับและถอนความเห็น แต่ระยะที่ ๓ นี้จะไม่ยอมพูดออกมาเด็ดขาดว่าความเห็นของตนผิด-แม้ว่าจะผิดจริง และลึกๆ แล้วตัวเองก็รู้ว่าผิด แต่จะให้รับ ไม่รับ อาจเป็นเพราะ-ถ้ารับก็จะไปกระทบกับความน่าเชื่อถือหรือ “อัตตา” ของตนที่ได้ประกาศให้สังคมรับรู้ไปแล้วตั้งแต่ต้น
ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระวินัย แม้จะรู้ว่าผิด และตัวเองก็ยอมรับว่าทำเช่นนั้นผิดจริง แต่ก็ยังขืนทำอยู่ ไม่มีความตั้งใจที่จะสำรวมระวัง ละเมิดจนชิน จนเคย สิกขาบทมีก็มีไป รับรู้ว่ามี แต่ไม่คิดจะปฏิบัติตาม
ระยะที่ ๔
เริ่มต้นเหมือนกัน คือประกาศ-แสดงความเห็นผิดประพฤติผิดออกมา มีผู้แย้ง มีหลักฐานว่าผิดจริง ยอมรับว่าผิดตามหลักฐาน แต่มาถึงขั้นนี้เริ่มจะแย้งย้อนกลับไปว่าบทบัญญัตินั้นๆ เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรง จะมามัวคิดเล็กคิดน้อยทำไมกัน โลกเขาไปถึงไหนๆ แล้ว สังคมก็เปลี่ยนไปแล้ว ดูแต่ที่นั่นที่โน่นเขายังทำอย่างนั้นอย่างโน้นได้ ก็คือจะบอกว่า-หลักฐานหรือหลักพระธรรมวินัยก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ไม่จำเป็นจะต้องยึดถือปฏิบัติตามเสมอไป
มาถึงขั้นนี้ เริ่มจะนิยมอ้างพุทธานุญาตที่ว่า -
อากงฺขมาโน อานนฺท สงฺโฆ มมจฺจเยน ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สิกฺขาปทานิ สมูหนตุ.
ดูก่อนอานนท์ โดยล่วงไปแห่งเรา สงฆ์ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างจงถอนเถิด
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค, พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๑๔๑
แต่ก็จะทำเพียง “อ้างสิทธิ์” ตามพุทธานุญาตนี้เท่านั้น หากแต่จะไม่ศึกษาให้ตลอดต่อไปอีกว่า คณะสงฆ์เถรวาทมีมติอย่างไรต่อพุทธานุญาตนี้ (ศึกษามติสงฆ์เถรวาทได้ที่ปัญจสติกขันธกะ วินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๗ ข้อ ๖๒๐-๖๒๑)
ในทางพระวินัย แนวคิดที่เด่นในระยะนี้ก็คือ - “อาบัติก็แค่ทุกฏ”
คือเห็นว่าการละเมิดในเรื่องนั้นๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แล้วก็พากันประพฤติเสมือนว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ไม่มีข้อห้าม ทั้งๆ ที่ข้อห้ามก็มีอยู่แท้ๆ
ข้อนี้จะตรงกันข้ามกับพระสงฆ์ในอดีต โดยเฉพาะในสมัยพุทธกาล ที่ท่านถือหลักว่า “อนุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี” อาบัติเล็กน้อยขนาดไหนก็เห็นเป็นเรื่องน่ากลัว และจะสำรวมระวัง ไม่ละเมิด
ระยะที่ ๕
เริ่มต้นเหมือนกัน และพัฒนาแนวคิดต่อมาก็เหมือนระยะที่ ๔ แต่มาถึงระยะที่ ๕ นี้ จะก้าวหน้าต่อไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือ เกิดแนวคิดโต้แย้งหลักพระธรรมวินัย เช่น -
หลักพระธรรมคำสอนเรื่องนั้นไม่เหมาะสม ไม่น่าจะถูกต้อง
หลักพระวินัยข้อนี้น่าจะไม่เหมาะสมกับยุคสมัย ปฏิบัติตามไม่ได้ สมัยนี้ถ้าปฏิบัติตามพระวินัยข้อนั้นๆ ก็จะไม่สามารถเป็นพระอยู่ได้ จึงไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติตามอีกต่อไป
วี่แววที่เริ่มจะปรากฏแล้วในเวลานี้ก็อย่างเช่นแนวคิดที่ว่า -อย่าให้พระไปนิพพานกันหมดเลย อยู่ช่วยสังคมกันบ้างเถิด -อาตมาเป็นพระปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ เพราะฉะนั้นอย่ามาบังคับกันมากนัก
ผู้คนก็เริ่มจะมองว่า -
สอนให้ไปนิพพาน ผิด สอนให้ช่วยสังคม ดีกว่า
(ถึงตอนนี้ นิพพานคืออะไรกันแน่ ก็ไม่คิดจะศึกษาให้เข้าใจถูกต้องกันอีกแล้ว)
จากระยะที่ ๕ นี้ ก็จะเริ่มขยายตัวไปเรื่อยๆ กล่าวคือ หลักพระธรรมข้อนั้น หลักพระวินัยข้อนี้ จะถูกโต้แย้ง ถูกต่อต้าน ถูกยกเลิกไปทีละเรื่องทีละอย่าง คำสอนและแนวคิดของคนสมัยใหม่จะเข้ามาแทนที่ สภาพแบบ “กลองอานกะ” ในอาณิสูตรก็จะเกิดขึ้น (อาณิสูตร สังยุตนิกาย นิทานวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๖ ข้อ ๖๗๒-๖๗๓)
รูปร่าง เปลือกนอก ยังยอมรับกันว่าเป็น “พระพุทธศาสนา”
แต่เนื้อในที่ประพฤติกันอยู่ เป็นคำสอนและแนวคิดของแต่ละคน
ที่บรรยายมานี้ ถ้าเอาโครงสร้างอริยสัจสี่มาจับ ก็เป็นแค่ “ทุกข์” คือการบรรยายสภาพของปัญหา แล้วจะทำอย่างไรกันดี-อันจะเป็นขั้นตอนต่อไปของอริยสัจ คือ สมุทัย-นิโรธ-มรรค เป็นเรื่องที่จะต้องคิดกันต่อไป
ทุกคนมีสิทธิ์คิดได้เอง ไม่ต้องรอให้ใครคิดแทน คิดเพื่อช่วยกันรักษาพระธรรมวินัยไว้
อย่าคิดเพียงแค่-เพื่อให้สิ่งที่เราเรียกกันในบัดนี้ว่า “พระพุทธศาสนา” อยู่ได้เท่านั้น ส่วนเนื้อในจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ!!
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย , ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ , ๑๗:๓๕
พระศาสนาห้าพันปี (๑) , พระศาสนาห้าพันปี (๒)
0 comments: