วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564

พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งอุทานนี้ว่า “พระอริยบุคคลใด ไม่มีราก ไม่มีพื้นดิน ไม่มีเถา จะมีใบแต่ที่ไหน?..."

พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งอุทานนี้ว่า “พระอริยบุคคลใด ไม่มีราก ไม่มีพื้นดิน ไม่มีเถา จะมีใบแต่ที่ไหน ?  ใครเล่าควรจะติเตียนพระอริยบุคคลนั้น ผู้เป็นปราชญ์ ผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูก,  พระอริยบุคคลนั้น แม้เทวดาก็ชื่นชม ถึงพรหมก็สรรเสริญ”

อธิบายความ

๑. พระอริยบุคคล “ไม่มีราก” หมายถึง ไม่มีอวิชชา (ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ) เป็นมูลราก

๒. พระอริยบุคคล “ไม่มีพื้นดิน” หมายถึง ไม่มีอาสวะ (กิเลสที่หมักดองอยู่ในสันดาน) ไม่มีนิวรณ์ (ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี) และไม่มีอโยนิโสมนสิการ (การไม่มนสิการโดยแยบคาย)

๓. พระอริยบุคคล “ไม่มีเถา” หมายถึง ไม่มีมานะ (ความถือตัว) และไม่มีอติมานะ (ความดูหมิ่น) เป็นต้น

๔. พระอริยบุคคล “จะมีใบ แต่ที่ไหน” หมายถึง จะมีใบ คือ มทะ (ความมัวเมา) ปมาทะ (ความประมาท) มายา (ความมีมารยา) และสาเฐยยะ (ความโอ้อวดหลอกลวงเขา) มาจากไหน ?

เพราะฉะนั้น พระอริยบุคคลจึงไม่มีอวิชชาอันเป็นดุจรากของต้นไม้คืออัตภาพ และไม่มีแผ่นดินกล่าวคืออาสวะนิวรณ์และอโยนิโสมนสิการอันเป็นที่ตั้งอาศัยของอวิชชานั่นเอง เพราะท่านถอนขึ้นได้ด้วยอรหัตมรรคแล้ว  

ดังนั้น เครือเถาจึงไม่มี แล้วใบไม้จะมีแต่ที่ไหน  อธิบายว่า แม้เครือเถาคือกิ่งใหญ่กิ่งน้อยเป็นต้นอันต่างด้วยมานะและอติมานะเป็นต้น ย่อมไม่มี,  ใบไม้คือมทะ ปมาทะ มายา และสาไถยเป็นต้น จักมีแต่ที่ไหนเล่า ?

อนึ่ง ก็เมื่อพืชคือกรรมไม่มี หน่อคือวิญญาณซึ่งมีพืชคือกรรมนั้นเป็นเครื่องหมายก็ดี กิ่งใบคือนามรูปสฬายตนะเป็นต้นอันมีหน่อคือวิญญาณเป็นเครื่องหมายก็ดี จักไม่บังเกิดขึ้นได้เลย ดังนี้ ฯ

สาระธรรมจากตัณหาขยสูตร

พระมหาวัชระ  เชยรัมย์  (ติกฺขญาโณ)

1/8/64


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: