วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564

โกสิยชาตกํ - ว่าด้วยถ้อยคำกับการกินไม่สมกัน

โกสิยชาตกํ - ว่าด้วยถ้อยคำกับการกินไม่สมกัน

"ยถา  วาจา  จ  ภุญฺชสฺสุ,    ยถา  ภุตฺตญฺจ  พฺยาหร;    อุภยํ  เต  น  สเมติ,   วาจา  ภุตฺตญฺจ  โกสิเยติ ฯ  ดูกรนางโกสิยะ เจ้าจงกินยาให้สมกับที่เจ้าอ้างว่าป่วย หรือจงทำการงานให้สมกับอาหารที่เจ้าบริโภค เพราะถ้อยคำกับการกินของเจ้าทั้ง ๒ ประการ ไม่สมกัน."

อรรถกถาโกสิยชาดกที่ ๑๐ 

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภมาตุคามในพระนครสาวัตถี นางหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  ยถา  วาจาว  ภุญฺชสฺสุ  ดังนี้.

ได้ยินว่า นางเป็นพราหมณีของพราหมณ์อุบาสก ผู้มีศรัทธาปสาทะผู้หนึ่ง เป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หยาบช้าลามก กลางคืนก็ประพฤตินอกใจ กลางวันก็ไม่ทำงานอะไรแสดงท่าทางอย่างคนไข้นอนทอดถอนใจอยู่ไปมา.

ครั้งนั้น พราหมณ์ถามนางว่า „แม่มหาจำเริญ เธอไม่สบาย เป็นอะไรไปหรือ ?“ นางตอบว่า „ลมมันเสียดแทงดิฉัน" พราหมณ์ถามว่า „ถ้าอย่างนั้นได้อะไรถึงจะเหมาะเล่า ?“ นางตอบว่า „ต้องได้รับยาคูภัตรและน้ำมันเป็นต้น ที่ประณีต ๆ“  พราหมณ์ก็ไปหาสิ่ง ที่นางต้องการนั้น ๆ มาให้ กระทำกิจทุกอย่างเหมือนเป็นทาส.  ฝ่ายนางพราหมณี เวลาพราหมณ์เข้าเรือน ก็นอน เวลาพราหมณ์ออกไป ก็หยอกล้อกับชายชู้. ฝ่ายพราหมณ์ดำริว่า „กองลมที่เสียดแทงสรีระภรรยาของเรานี้ ดูท่าจะไม่มีที่สิ้นสุด“ วันหนึ่งจึงถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่พระเชตวันวิหาร บูชาพระศาสดาถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.

เมื่อมีพระดำรัสว่า „ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุไรท่านจึงมิค่อยได้มา ?“ พราหมณ์กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นัยว่า กองลมเสียดแทงสรีระนางพราหมณีของข้าพระองค์, ข้าพระองค์ต้องเสวงหาเนยใส น้ำมันเป็นต้นและโภชนะที่ประณีต ๆ ให้นางร่างกายของนางก็ดูอ้วนท้วน ผ่องใส มีผิวพรรณดี, แต่โรคลมดูไม่มีท่าจะสิ้นสุดได้เลย, ข้าพระองค์ต้องปรนนิบัตินางอยู่เรื่อย ๆจึงไม่ได้โอกาสมาวิหารนี้ พระเจ้าข้า“

พระศาสดาทรงทราบความเลวของนางพราหมณีแล้วจึงตรัสว่า „พราหมณ์ เมื่อมาตุคามนอนเสียอย่างนี้ โรคก็ไม่สงบ ต้องปรุงยาอย่างนี้แลอย่างนี้ให้จึงจะสมควร, แม้ในครั้งก่อนบัณฑิตก็เคยบอกท่านแล้ว แต่ท่านกำหนดจดจำไม่ได้เอง เพราะมีเหตุที่ภพมากำบังไว้เสีย“ พราหมณ์กราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล เรียนศิลปะทุกประการในเมืองตักกสิลาแล้วได้เป็นอาจารย์ ทิศาปาโมกข์ ในพระนครพาราณสี ขัตติยกุมารในราชธานีทั้งร้อยเอ็ดและพราหมณกุมาร พากันมาเรียนศิลปะในสำนักของท่านผู้เดียวมากมาย

ครั้งนั้น มีพราหมณ์ชาวชนบทผู้หนึ่งเรียนไตรเพทและวิทยฐานะ ๑๘ ประการ ในสำนักของพระโพธิสัตว์แล้ว ตั้งหลักฐานอยู่ในพระนครพาราณสีนั่นเอง มาที่สำนักของพระโพธิสัตว์วันละสองสามครั้งทุกวัน นางพราหมณีของเขา เป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หยาบช้า ลามกเรื่องทั้งปวงตั้งแต่นี้ไป ก็เช่นเดียวกับเรื่องปัจจุบันนั่นแล

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ เมื่อพราหมณ์นั้นบอกว่า ด้วยเหตุนี้ กระผมจึงไม่มีโอกาส เพื่อจะไปรับโอวาท ดังนี้ ก็ทราบว่า นางมาณวิกานั้นนอนหลอกพราหมณ์นี้เสียแล้ว.  คิดว่า „เราต้องบอกยาที่ เหมาะสมให้แก่นาง“ แล้วกล่าวว่า "พ่อคุณ ต่อแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้ให้เนยใสและน้ำนมสดแก่นางเป็นอันขาด แต่จงโขลกใบไม้ ๕ อย่างและผล ๓ อย่างเป็นต้น ใส่ในมูตรโคแล้วแช่ไว้ในภาชนะทองแดงใหม่ ๆ ให้กลิ่นโลหะมันจับแล้วถือเชือก หวายหรือไม้เรียวกล่าวว่า „ยานี้เหมาะแก่โรคของเจ้า เจ้าจงกินยานี้หรือไม่เช่นนั้น ก็ลุกขึ้นทำการงานให้สมควรแก่ภัตรที่เจ้าบริโภค, แล้วต้องกล่าวคาถานี้ ถ้านางไม่ยอมดื่มยา ก็ต้องเอาเชือกหรือหวาย หรือไม้เรียว หวดนางลงไปอย่างไม่ต้องนับแล้วจิกผมกระชากมาถองด้วยศอก นางจักลุกขึ้นทำงานในทันใดนั่นเอง“

เขารับคำว่า „ดีจริงขอรับ“ แล้วทำยา ตามข้อที่บอกแล้วนั่นแหละกล่าวว่า „แม่มหาจำเริญ เชิญดื่มยานี้เถิด“ นางถามว่า „ยานี้ใครบอกท่านเล่าเจ้าคะ ?“ ตอบว่า „อาจารย์บอกให้ แม่มหาจำเริญ“  นางกล่าวว่า „เอามันไปเสียเถิด ฉันไม่ดื่ม“ มาณพกล่าวว่า „เจ้าจักดื่มตามใจชอบของตนไม่ได้แล้วคว้าเชือกกล่าวว่า เจ้าจงดื่มยาที่เหมาะแก่โรคของตน หรือมิฉะนั้นก็จงทำงานให้สมควรแก่ภัตรที่บริโภค“ แล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-

„ดูก่อนนางโกสิยะ เจ้าจงกินยาให้สม กับที่อ้างว่า ป่วย หรือจงทำงานให้สมกับอาหารที่บริโภค เพราะถ้อยคำกับการกินของเจ้าทั้งสอง อย่างไม่สมกันเลย.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  ยถา  วาจา  จ  ภุญฺชสฺสุ  ความว่า เจ้าจงกินให้สมกับวาจาที่ลั่นไว้ อธิบายว่า จงกินให้สมกับคำพูดที่เจ้ากล่าวว่า กองลมเสียดแทงดิฉัน ดังนี้ ปาฐะว่า  ยถา  วาจํ  วา  ว่าดังนี้ก็ควร บางอาจารย์ก็สวดว่า  ยถาวาจาย ดังนี้ก็มีในทุก ๆบทความก็อย่างเดียวกันนี้.  บทว่า  ยถาภุตฺตญฺจ  พฺยาหร  ความว่า จงพูดออกมาให้สมกับอาหารที่เจ้าบริโภคแล้ว อธิบายว่า จงบอกเถิดว่า ฉันหายโรคแล้วละ ดังนี้แล้ว ทำการงานที่ต้องทำในเรือน. ปาฐะว่า  ยถาภูตญฺจ  ดังนี้ก็มี. อีกอย่างหนึ่ง มีอธิบายว่า จงพูดตามความจริงว่า ฉันไม่มีโรคดอกดังนี้แล้ว ทำการงานเสียเถิด.  บทว่า  อุภยนฺเต  น  สเมติ  วาจา  ภุตฺตญฺจ  โกลิเย  ความว่า คำพูดของเจ้าที่ว่า กองลมเสียดแทงฉันดังนี้ กับโภชนะอันประณีต ที่เจ้ากิน แม้ทั้งสองอย่างของเจ้านี้ไม่สมดุลย์กันเลย เพราะเหตุนั้น จงลุกขึ้นทำงานเสียเถิด.

เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว ธิดาแห่งโกสิยพราหมณ์คิดว่า ตั้งแต่เวลาที่อาจารย์ช่วยขวนขวายแล้ว เราไม่อาจลวงเขาอย่างนี้ต่อไปได้ ต้องลุกขึ้นทำการงาน ดังนี้แล้ว ก็ลุกขึ้นประกอบกิจตามหน้าที่ ทั้งยังเป็นหญิงมีศีลงดเว้นจากการทำความชั่ว ด้วยความยำเกรงในอาจารย์ว่า ความที่เราเป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อาจารย์รู้หมดแล้ว ต่อแต่นี้ไป เราไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้อีก. แม้นางพราหมณีนั้น ก็ไม่กล้าทำอนาจารซ้ำอีก ด้วยความเคารพในพระศาสดาว่า ได้ยินว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้เรื่องของเราแล้ว.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า คู่สามีภรรยาในครั้งนั้นได้มาเป็นคู่สามีภรรยาในบัดนี้ส่วนอาจารย์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล. จบอรรถกถาโกสิยชาดกที่ ๑๐. จบกุสนาฬิวรรคที่ ๑๓

ที่มา : Palipage: Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: