วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564

พ่อแม่ร้องไห้ตอนออกบวช


พ่อแม่ร้องไห้ตอนออกบวช

[ณ อาศรมของพราหมณ์ชื่อรัมมกะ นครสาวัตถี พระพุทธเจ้าได้ทราบจากพระอานนท์ว่าเหล่าภิกษุได้ไปที่อาศรมเพื่อรอฟังธรรมจากท่าน ท่านจึงเดินไปทางที่อาศรมและกล่าวกับเหล่าภิกษุว่า]

พ:  ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งคุยอะไรกันค้างกันอยู่หรือ?  ภ:  ภันเต พวกเราคุยเกี่ยวกับธรรมของท่านค้างอยู่.  พ: ดีแล้ว พวกเธอเป็นผู้ออกบวช สมควรที่จะทำกิจ 2 อย่าง คือ สนทนาธรรมกันหรือนั่งนิ่งตามแบบพระอริยะ ภิกษุทั้งหลาย การแสวงหามี 2 อย่าง การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ กับการแสวงหาที่ประเสริฐ   การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ คือ คนเราซึ่งต้องเกิด แ  ก่ เ จ็ บ ต า  ย  เ ศ ร้ าโ ศ ก และ เ ศ ร้ า  ห ม อ ง เป็นธรรมดา กลับจะยังเดินตามทางที่นำไปสู่ความลุ่มหลงติดพันกับการเกิด แ ก่ เ จ็ บ ต า ย เ ศ ร้ า โ ศ ก และเ ศ ร้ า ห ม อ งนั้นอยู่นั่นเอง  ส่วนการแสวงหาที่ประเสริฐ คือ คนเราซึ่งต้องเกิด แ ก่   เ  จ็  บ ต  า  ย  เ ศ ร้ า  โศ ก  เ ศ ร้ า ห ม อ ง เป็นธรรมดา แต่ต้องการจะเดินตามทางที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ  ต า ย เ ศ ร้ า โ ศ ก และ เ ศ ร้ า ห ม อ  งนั้น

ก่อนที่เราจะตรัสรู้ เราก็เป็นผู้มีความเกิด แ ก่ เจ็ บ ต า ย เศ ร้ า โศ ก เ ศ ร้ า ห ม อ ง เป็นธรรมดา และยังเดินตามทางที่นำไปสู่ความลุ่มหลงติดพันกับการเกิด แ ก่ เจ็ บ ต า ย เศ ร้ า โศ ก เ ศ ร้ า ห ม อ ง นั้นอยู่เช่นกัน จนเราคิดขึ้นได้ว่า ทำไมเรายังจะเดินตามทางนี้อยู่เล่า เราควรจะแสวงหาทางหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้มากกว่า

เวลาต่อมา ตอนที่เรายังหนุ่มผมดำสนิท แม้พ่อและแม่ไม่ต้องการจะให้บวช ต่างร้องไห้น้ำตาอาบหน้า แต่เราก็ตัดสินใจปลงผมและหนวด นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ (ผ้าย้อมน้ำฝาดสีออกเหลือง) ออกจากบ้านมาบวช เสาะแสวงหาสิ่งที่เป็นกุศล หาทางสู่ความสงบ ได้เข้าไปหาอาฬารดาบสแล้วกล่าวว่า ‘ท่านกาลามะ ผมปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยของท่านนี้’ ซึ่งอาฬารดาบสก็ตอบว่า ‘เชิญท่านอยู่เถิด วิญญูชนสามารถเข้าถึงธรรมของเรานี้ได้ในไม่ช้า’

ภิกษุทั้งหลาย เราเรียนธรรมนั้นได้อย่างรวดเร็ว ท่องจำเข้าใจได้หมด เราจึงเข้าไปหาอาฬารดาบสเพื่อถามว่ามีธรรมใดอีกไหมที่ท่านจะสอนเรา เมื่อได้ยินดังนี้ อาฬารดาบสจึงสอนเราเรื่องอากิญจัญญายตนสมาบัติ (การเข้าถึงภาวะที่จิตสงบนิ่ง ละเอียด ตั้งมั่นเป็นสมาธิ โดยกำหนดรู้ถึงภาวะที่ไม่มีอะไร) จากนั้นไม่นานเราก็เข้าถึงภาวะนั้นได้ แล้วเราก็เข้าไปถามอีกว่ามีธรรมเพิ่มเติมอีกไหม แต่ครั้งนี้อาฬารดาบสบอกว่าที่รู้ทั้งหมดก็มีเท่านี้ เราจึงบอกไปว่าเราเองก็เข้าถึงภาวะนี้ได้แล้วเหมือนกัน อาฬารดาบสก็บอกว่าเป็นเรื่องที่ดี ท่านทำได้แค่ไหน เราก็ทำได้เท่ากัน จึงชวนให้เราไปบริหารคณะของท่านร่วมกัน นับเป็นการยกย่องเรามาก แต่เราคิดว่า ธรรมนี้เป็นไปเพื่อเข้าถึงอากิญจัญญายตนสมาบัติเท่านั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อความคลาย กำ ห นั ด เพื่อความดับ ความสงบ เพื่อตรัสรู้และเพื่อนิพพาน เรายังไม่พอใจ จึงลาจากไป

หลังจากนั้นเราได้พบกับอุทกดาบส และก็เช่นเดียวกันคือสอนธรรมเราเพื่อการเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ (การเข้าถึงภาวะที่จิตสงบนิ่ง ละเอียด ตั้งมั่นเป็นสมาธิ โดยเข้าถึงภาวะที่มีความจำก็ไม่ใช่ ไม่มีความจำก็ไม่ใช่) เท่านั้น อุทกดาบสก็ได้ชวนให้เราไปบริหารคณะของท่านร่วมกัน นับเป็นการยกย่องเรามาก แต่เราคิดว่า ธรรมนี้เป็นไปเพื่อเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเท่านั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ ความสงบ เพื่อตรัสรู้และเพื่อนิ พ พ า น เรายังไม่พอใจ จึงลาจากไป

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นชอบที่จะเสาะแสวงหาสิ่งที่เป็นกุศล หาทางสู่ความสงบ ครั้นเมื่อเที่ยวเดินทางไปถึงมคธ ได้ไปถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เห็นภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์ มีป่าที่ดูเพลินใจ มีแม่น้ำไหลเอื่อย มีท่าน้ำสะอาด มีบ้านเรือนตั้งอยู่โดยรอบ เราคิดว่าสถานที่นี้เหมาะกับการบำเพ็ญเพียร จึงนั่งอยู่ ณ ที่นั้นจนสุดท้ายบรรลุนิพพานที่ไม่มีการเกิด แ ก่ เจ็ บ ต า ย เศ ร้ า โศ ก เ ศ ร้ า ห ม อ ง อีก เรารู้ชัดได้ว่าไม่มีกิเลสราคะแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีภพใหม่อีกต่อไป

ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 18 (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ภาค 1 เล่ม 2 ปาสราสิสูตร ข้อ 312), 2559, น.396-406


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: