วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ความมืดสูงสุด คือ ความมืดของ “ผู้ไม่เห็นธรรม”

ความมืดสูงสุด คือ ความมืดของ “ผู้ไม่เห็นธรรม”

“เมื่อใด ในที่ใด มี "โมหะ" ที่นั้นก็เรียกว่า มีความมืดชนิดที่ทำให้เป็นคนตาบอด แต่ถ้าคนตาบอดไม่มีโมหะ ที่นั้นกลับมีแสงสว่าง คือกลายเป็นคนตาดีไป แม้ว่าจะเป็นคนตาบอดโดยกำเนิด แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจนเข้าใจ ก็ย่อมกลายเป็นคนมีแสงสว่างหรือมีตาดีไปได้ ดังนี้ 

เพราะฉะนั้น ความมืดหรือความสว่างนี้ ย่อมอยู่ที่"มีโมหะ" หรือ ไม่มีโมหะ  ที่ที่มืดที่สุดนั้น ก็คือที่ที่ถูกโมหะครอบงำ  เวลาที่มืดที่สุดนั้น ก็คือเวลาที่โมหะครอบงำ  เมื่อใดมี โมหะ คือ "ความหลง" ครอบงำคนเราแล้ว  เมื่อนั้นแหละ ชื่อว่า มีความมืดอันแท้จริง"

พุทธทาสภิกขุ 

ที่มา : ธรรมเทศนา "อันตมมุยหกถา" เมื่อ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ จาก หนังสือชุด ธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า "มาฆบูชาเทศนา"

“โมหะ” คือ สภาวะที่ไม่รู้ ทำจิตให้มืดบอด

“โมหะ” คือ สภาวะที่ไม่รู้ตามความเป็นจริงที่มีอยู่  ดังนั้น “โมหะ” จึงเป็นรากเหง้าแห่ง “อกุศลธรรม” ทั้งปวง อันเป็นเหตุให้สัตว์ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร โมหะ คือ ความหลง ความหมายคือ การกระทำจิตให้มืดบอด โดยปิดบังฝ่ายดีไว้โดยสิ้นเชิง ประดุจการมืดมนของกลางคืน ที่ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ   ๑. วันแรม ๑๔ ค่ำ   ๒. เวลาเที่ยงคืน   ๓. ป่ารกชัฏ  ๔. เมฆทึบบังพระจันทร์ ”

พระญาณธชะ, จากหนังสือ “ปรมัตถทีปนี”

ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: