ถ้าได้ฟังธรรม ได้ปฏิบัติธรรม จะไม่มีวันเสื่อม
[สมัยหนึ่ง พระอานนท์ได้เล่าให้พระพุทธเจ้าฟังว่า]
อ: ภันเต เช้านี้ผมได้ไปรับบิณฑบาตที่บ้านของมิคสาลาอุบาสิกา ซึ่งนางได้เล่าให้ผมฟังว่า พระพุทธเจ้าเคยกล่าวว่า บิดาของนางชื่อปุราณะ และเพื่อนบิดาของนางชื่ออิสิทัตตะ เป็นสกทาคามี เมื่อตายแล้วจะเข้าถึงเทวดาชั้นดุสิต มีปลายทางในสัมปรายภพเหมือนกัน แต่นางบอกว่า บิดานางเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เสพเมถุน ในขณะที่เพื่อนบิดาไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ยังคงเสพเมถุนกับภรรยาอยู่ กลับมีคติเสมอกันอย่างนี้แล้วคนทั่วไปจะรู้ได้อย่างไร พอผมฟังแล้ว ผมก็กล่าวกับนางว่า ก็ข้อนี้พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้อย่างนั้น
พ: อานนท์ การจะรู้ว่าใครเป็นอย่างไรนั้นต้องอาศัยญาณ (การความสามารถในการหยั่งรู้อันเกิดจากสมาธิ) มิคสาลาอุบาสิกาไม่มีปัญญาแล้วจะรู้ได้อย่างไร? บางคนไม่ได้ทำบาปอะไร แต่ไม่เคยฟังธรรม ไม่ได้เรียนรู้ธรรม ไม่เคยปฏิบัติธรรม ยังเห็นผิดอยู่ ไม่เคยหลุดพ้นจากกิเลสได้เลย ตายไปก็เสื่อม ไม่ไปทางเจริญ. บางคนบางครั้งมีความโลภบ้าง โกรธบ้าง อวดดีบ้าง แต่ได้ฟังธรรม ได้เรียนรู้ธรรม เคยปฏิบัติธรรม มีความเห็นถูก สามารถหลุดพ้นจากกิเลสได้บ้าง ตายไปก็เจริญ ไม่ไปทางเสื่อม เพราะกระแสธรรมได้ถูกต้องบุคคลผู้นี้
ใครเล่าจะพึงรู้เหตุเหล่านี้นอกจากตถาคต เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบตัดสินคนว่าคนนี้เหนือกว่าดีกว่า คนนี้ด้อยกว่าเลวกว่า. อานนท์ คนที่ชื่อปุราณะมีศีลที่เด่นกว่าคนที่ชื่ออิสิทัตตะ แต่คนที่ชื่ออิสิทัตตะมีปัญญาที่เด่นกว่าคนที่ชื่อปุราณะ คนทั้งสองมีดีกันคนละอย่าง
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 36 (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต ภาค 3 ธรรมิกวรรค มิคสาลาสูตร ข้อ 315), 2559, น.642-647
0 comments: