พระผู้มีพระภาคตรัสพระสูตรนี้ไว้ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุผู้เป็นพระเสขะยังไม่บรรลุ ปรารถนาจะบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ อันยอดเยี่ยม เราไม่เห็นเหตุอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่ทำเหตุซึ่งมีอยู่ภายในตนให้มีอุปการะมากอย่างนี้ เหมือนโยนิโสมนสิการ (การมนสิการโดยแยบคาย) นี้เลย, ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อมนสิการโดยแยบคาย ย่อมละอกุศลได้และทำกุศลให้เจริญ”
อธิบายความ
คำว่า “ภิกษุ” หมายถึง ผู้เห็นภัยในสงสาร. คำว่า “เสกขะ” หมายถึง ผู้ยังต้องศึกษา. ถามว่า “ยังต้องศึกษาอะไร ?” ตอบว่า ศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง เพราะยังต้องศึกษา ดังนี้แล ฉะนั้นจึงเรียกว่าเสกขะ, แม้ผู้ที่เป็นกัลยาณปุถุชนกระทำให้บริบูรณ์ด้วยอนุโลมปฏิปทา ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียรโดยไม่เห็นแก่นอนมากนัก ประกอบความเพียรด้วยการเจริญโพธิปักขิยธรรมตลอดราตรีต้นราตรีปลาย ด้วยหวังว่า “เราจักบรรลุสามัญญผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวันนี้หรือในวันพรุ่งนี้” ท่านก็เรียกว่า เสกขะเหมือนกัน เพราะยังต้องศึกษามาก. คำว่า “ธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ” หมายถึงพระอรหัตตผลและนิพพาน.
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ธรรมอะไรๆ อย่างอื่นที่จะมีอุปการะมากเหมือนอย่างโยนิโสมนสิการ เพื่อให้ภิกษุผู้ยังเป็นเสกขะนั้นบรรลุพระอรหัตอันมีประโยชน์อย่างสูงสุด ย่อมไม่มี ดังนี้"
ถามว่า “เพราะเหตุไร ?” ตอบว่า “เพราะพระโยคาวจรมุ่งมนสิการ โดยอุบายอันแยบคาย แล้วเริ่มตั้งความเพียรด้วยสัมมัปปธาน ๔ อย่าง พึงถึงความสิ้นทุกข์ได้ คือพึงบรรลุพระนิพพานอันเป็นที่สิ้นสุดวัฏทุกข์อันเศร้าหมองสิ้นเชิง” เพราะฉะนั้น โยนิโสมนสิการจึงเป็นธรรมมีอุปการะมาก ดังนี้.
สาระธรรมจากปฐมเสขสูตร
พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ)
5/8/64
0 comments: