วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2564

น เตน โหติ ธมฺมฏฺโฐ เยนตฺถฺ สหสา นเย - ผู้ที่ตัดสินความโดยหุนหันพลันแล่น ไม่จัดเป็นผู้เที่ยงธรรม

เรื่องมหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัย  

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภมหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัย ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น เตน โหติ ธมฺมฏฺโฐ" เป็นต้น.

พวกภิกษุเห็นมหาอำมาตย์รับสินบน    

ความพิสดารว่า วันหนึ่ง พวกภิกษุเที่ยวบิณฑบาตในบ้านใกล้ประตูด้านทิศอุดรแห่งนครสาวัตถี กลับจากบิณฑบาตแล้วมาสู่วิหารโดยท่ามกลางพระนคร. ขณะนั้น เมฆใหญ่ตั้งขึ้นยังฝนให้ตกแล้ว. ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปสู่ศาลาที่ทำการวินิจฉัยอันตั้งอยู่ตรงหน้า เห็นพวกมหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัยรับสินบนแล้ว ทำเจ้าของไม่ให้เป็นเจ้าของ จึงคิดว่า "โอ! มหาอำมาตย์เหล่านี้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม, แต่พวกเราได้มีความสำคัญว่า 'มหาอำมาตย์เหล่านี้ทำการวินิจฉัยโดยธรรม’"  เมื่อฝนหายขาดแล้ว มาถึงวิหาร ถวายบังคมพระศาสดานั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่งแล้ว กราบทูลความนั้น. 

ลักษณะบุคคลผู้ตั้งอยู่และไม่ตั้งอยู่ในธรรม      

พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกอำมาตย์ผู้วินิจฉัยเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจอคติ มีฉันทาคติเป็นต้น ตัดสินความโดยผลุนผลัน ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม, ส่วนพวกที่ไต่สวนความผิดแล้วตัดสินความโดยละเอียดลออ ตามสมควรแก่ความผิดนั่นแหละ เป็นผู้ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม" ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :- 

น เตน โหติ ธมฺมฏฺโฐ        เยนตฺถํ สหสา นเย

โย จ อตฺถํ อนตฺถญฺจ    อุโภ นิจฺเฉยฺย ปณฺทิโต

อสาหเสน ธมฺเมน      สเมน นยตี ปเร

ธมฺมสฺส คุตฺโต เมธาวี    ธมฺมฏฺโฐติ ปวุจฺจติ ฯ

บุคคลไม่ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม เพราะเหตุที่นำคดีไปโดยความ ผลุนผลัน; ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต วินิจฉัยคดีและไม่ใช่คดีทั้งสอง ย่อมนำบุคคลเหล่าอื่นไปโดยความละเอียดลออ โดยธรรมสม่ำเสมอ, ผู้นั้นอันธรรมคุ้มครองแล้ว เป็นผู้มีปัญญา เรากล่าวว่า "ตั้งอยู่ในธรรม."

แก้อรรถ    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตน แปลว่า เพราะเหตุเพียงเท่านั้นเอง.   บทว่า ธมฺมฏฺโฐ ความว่า บุคคลผู้ตั้งอยู่ในธรรมเครื่องวินิจฉัยที่พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายจะพึงทรงกระทำด้วยพระองค์ ไม่เป็นผู้ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม.  บทว่า เยน แปลว่า เพราะเหตุใด.  บทว่า อตฺถํ ความว่า ซึ่งคดีที่หยั่งลงแล้วอันควรตัดสิน. สองบทว่า สหสา นเย ความว่า บุคคลผู้ตั้งอยู่ในอคติ๑- มีฉันทาคติเป็นต้น ตัดสินโดยผลุนผลัน คือโดยกล่าวเท็จ.   อธิบายว่า จริงอยู่ ผู้ใดตั้งอยู่ในความพอใจ กล่าวมุสาวาท ย่อมทำญาติหรือมิตรของตน ซึ่งมิใช่เจ้าของนั่นแลให้เป็นเจ้าของ,  ตั้งอยู่ในความชัง กล่าวเท็จ ย่อมทำคนที่เป็นศัตรูของตนซึ่งเป็นเจ้าของแท้จริงไม่ให้เป็นเจ้าของ  ตั้งอยู่ในความหลง รับสินบนแล้วในเวลาตัดสิน ทำเป็นเหมือนส่งจิตไปในที่อื่น แลดูข้างโน้นและข้างนี้ กล่าวเท็จ ย่อมนำบุคคลอื่นออกด้วยคำว่า "ผู้นี้ชำนะ ผู้นี้แพ้" ตั้งอยู่ในความกลัว ย่อมยกความชำนะให้ผู้เป็นใหญ่บางคนนั่นแล แม้ที่ถึงความแพ้  ผู้นี้ชื่อว่าย่อมนำคดีไปโดยความผลุนผลัน. ผู้นั้นไม่เป็นผู้ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม.    

บาทพระคาถาว่า โย จ อตฺถํ อนตฺถญฺจ ความว่า ซึ่งเหตุที่จริงและไม่จริง.  สองบทว่า อุโภ นิจฺเฉยฺย ความว่า ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิตวินิจฉัยเหตุที่เป็นคดีและไม่เป็นคดีทั้งสองแล้ว ย่อมกล่าว.  บทว่า อสาหเสน คือ โดยไม่กล่าวเท็จ.   บทว่า ธมฺเมน แปลว่า โดยธรรมเครื่องวินิจฉัย คือหาใช่โดยอำนาจอคติ มีฉันทาคติเป็นต้นไม่.  บทว่า สเมน คือ ย่อมนำบุคคลเหล่าอื่นไป คือให้ถึงความชำนะหรือความแพ้โดยสมควรแก่ความผิดนั่นเอง.  สองบทว่า ธมฺมสฺส คุตฺโต ความว่า ผู้นั้นอันธรรมคุ้มครองแล้ว คืออันธรรมรักษาแล้ว ประกอบแล้วด้วยปัญญาอันรุ่งเรืองในธรรม ชื่อว่ามีปัญญา  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ผู้ตั้งอยู่ในธรรม" เพราะเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรมเครื่องวินิจฉัย. 

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.  เรื่องมหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัย จบ.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=29&p=1               

         

Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: