วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2564

น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ - เวรระงับดัวยการไม่จองเวร

น หิ เวเรน เวรานิ  สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ  - เวรระงับดัวยการไม่จองเวร

เรื่องกุมาริกากินไข่ไก่ แสดงถึงเรื่องการจองเวรระหว่างสองฝ่าย ในรูปแบบข้ามภพข้ามชาติ

กฎแห่งกรรม เรื่องนี้ดำเนินไปในรูปแบบของกรรม ที่ส่งผลจากภพภูมิหนึ่งไปสู่อีกภพภูมิหนึ่ง ตามกระแสของของสังสารวัฏฏะ 3 คือ กิเลส กรรม วิบาก เมื่อตัดกระแสวัฏฏะนี้ยังไม่ได้ ก็ยังต้องหมุนเวียนอยู่อย่างนี้โดยไม่มีจุดจบให้เห็น โดยสอดประสานไปตามพลวัตรของ กฎแห่งกรรม ในมิติที่เรียกว่า อปราปริยเวทนียกมฺม คือ กรรมอันบุคคลพึงเสวยในภพสืบต่อๆ ไป หรือ กรรมให้ผลข้ามภพข้ามชาติ

เรื่องนี้ถูกนำมากล่าวถึงเมื่อคราวที่พระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกุมาริกาผู้กินไข่ไก่คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนาที่ขึ้นต้นด้วยบาทพระคาถานี้ว่า ปรทุกฺขูปธาเนน ดังนี้

ในอรรถกถาพระธรรมบทเล่าว่า ในกาลครั้งหนึ่ง สตรีคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี เลี้ยงแม่ไก่ไว้ในบ้านตัวหนึ่ง ทุกครั้งที่แม่ไก่นั้นออกไข่ สตรีนั้นก็จะนำไข่ไก่ไปต้มรับประทาน แม่ไก่คิดอาฆาตในสตรีนั้น และตั้งจิตอธิษฐานขอให้ชาติหน้าไปเกิดเป็นแม่ไก่ ที่สามารถกินลูกของหญิงนี้ให้ได้ เมื่อแม่ไก่ตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นแม่แมวในบ้านหลังนั้นเอง ข้างสตรีนางนั้นเมื่อเสียชีวิตแล้ว ก็ได้บังเกิดเป็นแม่ไก่ใบบ้านหลังนั้นเหมือนกัน พอแม่ไก่ออกไข่ นางแมวก็มากินไข่ของแม่ไก่นั้น ทำอยู่อย่างนี้ติดต่อกัน 2-3 ครั้ง 

แม่ไก่จึงตั้งความปรารถนาว่า เมื่อไปเกิดในภพชาติใหม่ ก็ขอให้ไปเกิดอยู่ในฐานะที่จะกินลูกของแม่แมวนี้บ้าง ชาติต่อมา แม่ไก่ไปบังเกิดเป็นนางเสือเหลือง ส่วนนางแมวไปเกิดเป็นนางเนื้อ เมื่อนางเนื้อนั้นคลอดลูก นางเสือเหลืองก็มาคอยจับไปกิน เป็นอยู่อย่างนี้ถึง 500 ชาติ กระทั่งในมาถึงสมัยของพระโคดมพุทธเจ้า เมื่อนางหนึ่งมาเกิดเป็นนางยักษิณี อีกนางหนึ่งมาเกิดเป็นสตรีในเมืองสาวัตถี 

มีอยู่ครั้งหนึ่ง สตรีนางนั้นเดินทางจากบ้านบิดามารดาจะกลับไปที่บ้านของสามี พร้อมด้วยสามีและบุตรที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขน ขณะที่นางอุ้มลูกนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ใกล้หนองน้ำไม่ไกลจากกรุงสาวัตถี ส่วนสามีลงไปอาบน้ำในหนองน้ำอยู่นั้น นางยักษิณีได้มาปรากฏร่าง และสตรีนั้นก็จดจำได้ว่านางยักษิณีเป็นศัตรูเก่าจะจับลูกของนางไปกิน นางจึงรีบอุ้มลูกวิ่งไปทางพระเชตวัน ซึ่งขณะนั้นพระศาสดากำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ในท่ามกลางมหาชน 

เมื่อไปถึงก็ได้วางบุตรลงที่ข้างพระบาทของพระศาสดา ข้างนางยักษิณีก็วิ่งติดตามหญิงนั้นไปถึงประตูวัดแต่ถูกเทวดาเฝ้าประตูวัดขัดขวางไม่ให้เข้าไปในวัดได้ พระศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ได้ตรัสบอกพระอานนท์ให้ไปบอกเทวดาที่ซุ้มประตูให้อนุญาตนางยักษิณีเข้ามาได้ 

เมื่อนางยักษิณีเข้ามาอยู่เบื้องของพระศาสดาแล้ว พระศาสดาได้ตรัสสอนทั้งสตรีและนางยักษิณีว่า “หากเธอทั้งสองไม่มาหาเรา เวรของเธอทั้งสองก็จะยังดำเนินอยู่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เวรไม่มีวันระงับด้วยการจองเวร เวรสามารถระงับได้ด้วยการไม่จองเวรเท่านั้น”  จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า

ปรทุกฺขูปธาเนน  โย อตฺตโน สุขมิจฺฉติ,  เวรสํสคฺคสํสฏฺโฐ  เวรา โส น ปริมุจฺจติ ฯ 

ผู้ใดปรารถนาสุขเพื่อตน โดยการก่อทุกข์ให้คนอื่น ผู้นั้นมักเกี่ยวพันด้วยเวรไม่รู้สิ้น ไม่มีทางพ้นทางเวรไปได้

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นางยักษิณีตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลาย สมาทานศีล 5 พ้นแล้วจากเวร ฝ่ายกุลธิดานั้น ตั้งอยู่ในโสดาบัตติผล พระธรรมเทศนามีประโยชน์ แม้แก่บุคคลผู้ประชุมกันแล้ว.

Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: