วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2564

พราหมณ์ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าขัตติยราชอีกสององค์ ทำลายรัฐ พร้อมทั้งผู้ครองรัฐเสียแล้ว ย่อมสัญจรไป อย่างไร้ทุกข์

พราหมณ์ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าขัตติยราชอีกสององค์ ทำลายรัฐ พร้อมทั้งผู้ครองรัฐเสียแล้ว ย่อมสัญจรไป อย่างไร้ทุกข์

เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ  

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระลกุณฏกภัททิยเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวา" เป็นต้น.

อาคันตุกภิกษุเข้าเฝ้าพระศาสดา       

ความพิสดารว่า วันหนึ่งภิกษุอาคันตุกะหลายรูปด้วยกัน เข้าไปเฝ้าพระศาสดาผู้ประทับนั่ง ณ ที่ประทับกลางวัน ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. ขณะนั้น พระลกุณฏกภัททิยเถระเดินผ่านไปในที่ไม่ไกลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาทรงทราบวารจิต (คือความคิด) ของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นหรือ? ภิกษุนี้ฆ่ามารดาบิดาแล้ว เป็นผู้ไม่มีทุกข์ ไปอยู่"  เมื่อภิกษุเหล่านั้นมองดูหน้ากันและกันแล้ว แล่นไปสู่ความสงสัยว่า "พระศาสดา ตรัสอะไรหนอแล?" จึงกราบทูลว่า "พระองค์ตรัสคำนั่นชื่ออะไร?"  เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :- 

มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวา   ราชาโน เทฺว จ ขตฺติเย,  รฏฺฐํ สานุจรํ หนฺตฺวา   อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ ฯ  

พราหมณ์ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าขัตติยราชอีกสององค์ ทำลายรัฐ พร้อมทั้งผู้ครองรัฐเสียแล้ว ย่อมสัญจรไป อย่างไร้ทุกข์

แก้อรรถ    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สานุจรํ ได้แก่ ผู้เป็นไปกับด้วยผู้จัดการส่วยให้สำเร็จ คือเจ้าพนักงานเก็บส่วย.  ก็ในพระคาถานี้ บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยว่า ตัณหา ชื่อว่ามารดา เพราะให้สัตว์ทั้งหลายเกิดในภพ ๓ เพราะบาลีว่า "ตัณหายังบุรุษให้เกิด."  อัสมิมานะ (การถือว่าเป็นเรา) ชื่อว่าบิดา เพราะอัสมิมานะอาศัยบิดาเกิดขึ้นว่า "เราเป็นราชโอรสของพระราชาชื่อโน้น หรือเป็นบุตรของมหาอำมาตย์ของพระราชาชื่อโน้น" เป็นต้น.  ทิฏฐิทุกชนิด ย่อมอิงสัสสตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิทั้งสอง เหมือนชาวโลกอาศัยพระราชาฉะนั้น เพราะฉะนั้น สัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ จึงชื่อว่าพระราชาผู้กษัตริย์สองพระองค์. อายตนะ (อายตนะภายใน ๖ มีจักษุเป็นต้น. ภายนอก ๖ มีรูปเป็นต้น) ชื่อว่าแว่นแคว้น เพราะคล้ายคลึงกับแว่นแคว้น โดยอรรถว่ากว้างขวาง. ความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดี ซึ่งอาศัยอายตนะนั้น ดุจบุรุษเก็บส่วย จัดการส่วยให้สำเร็จ ชื่อว่าเจ้าพนักงานเก็บส่วย.  บทว่า อนีโฆ ได้แก่ ไม่มีทุกข์.  บทว่า พฺราหฺมโณ ได้แก่ ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว. ในพระคาถานี้ มีอธิบายดังนี้ "ผู้ชื่อว่ามีอาสวะสิ้นแล้ว เพราะกิเลสเหล่านั้นมีตัณหาเป็นต้น อันตนกำจัดได้ด้วยดาบ คืออรหัตมรรคญาณ จึงเป็นผู้ไม่มีทุกข์ ไปอยู่."  ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว.    แม้ในพระคาถาที่ ๒ เรื่องก็เหมือนกับเรื่องก่อนนั่นเอง.แม้ในกาลนั้น พระศาสดาทรงปรารภพระลกุณฏกภัททิยเถระเหมือนกัน เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวา  ราชาโน เทฺว จ โสตฺถิเย,  เวยฺยคฺฆปญฺจมํ หนฺตฺวา  อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ ฯ

บุคคลฆ่ามารดาบิดา ฆ่าพระราชาผู้เป็นพราหมณ์ทั้งสองได้แล้ว และฆ่าหมวด ๕ แห่งนิวรณ์มีวิจิกิจฉานิวรณ์ เช่นกับหนทางที่ เสือโคร่งเที่ยวไปเป็นที่ ๕ แล้ว เป็นพราหมณ์ ไม่มีทุกข์ ไปอยู่.  

แก้อรรถ    บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า เทฺว จ โสตฺถิเย คือ ผู้เป็นพราหมณ์ทั้งสองด้วย.  ก็ในพระคาถานี้ พระศาสดาตรัสสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิให้เป็นพระราชาผู้เป็นพราหมณ์ทั้งสอง เพราะพระองค์เป็นใหญ่ในพระธรรมและเพราะพระองค์เป็นผู้ฉลาดในวิธีเทศนา.   บัณฑิตพึงทราบวิเคราะห์ ในบท เวยฺยคฺฆปญฺจมํ นี้ว่า   หนทางที่เสือโคร่งเที่ยวไป มีภัยรอบด้าน เดินไปลำบาก ชื่อว่าทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปแล้ว. แม้วิจิกิจฉานิวรณ์ ชื่อว่าเป็นดุจทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปแล้ว เพราะความที่วิจิกิจฉานิวรณ์นั้น คล้ายกับหนทางอันเสือโคร่งเที่ยวไปแล้วนั้น, วิจิกิจฉานิวรณ์เช่นกับหนทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปแล้วนั้น เป็นที่ ๕ แห่งหมวด ๕ แห่งนิวรณ์นั้น เพราะฉะนั้น หมวด ๕ แห่งนิวรณ์ จึงชื่อว่ามีวิจิกิจฉานีวรณ์ เช่นกับหนทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปแล้วเป็นที่ ๕.

ในพระคาถาที่ ๒ นี้ มีอธิบายดังนี้ว่า "ก็บุคคลฆ่าหมวด ๕ แห่งนีวรณ์มีวิจิกิจฉานีวรณ์ เช่นกับหนทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปแล้วเป็นที่ ๕ นี้ไม่ให้มีส่วนเหลือ ด้วยดาบคืออรหัตมรรคญาณ เป็นพราหมณ์ ไม่มีทุกข์ เที่ยวไปอยู่." บทที่เหลือ เป็นเช่นกับบทที่มีในก่อนนั่นแล ดังนี้แล.  เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ จบ. 

ที่มา :  https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=31&p=4

Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: