วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2564

พระปฏาจาราเถรี หญิงเสียสติผู้บรรลุพระอรหันต์

พระปฏาจาราเถรี หญิงเสียสติผู้บรรลุพระอรหันต์

บุพกรรมในอดีตในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตระ พระเถรีบังเกิดในกรุงหังสวดี ได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเมื่อได้ฟังพระสัทธรรมแล้ว เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาพระพระภิกษุณีองค์หนึ่ง เป็นเอตทัคคะด้านผู้เป็นเลิศกว่าพระภิกษุณีทั้งหลายด้านทรงพระวินัย พระนางจึงตั้งจิตปรารถนาไว้ว่า “แม้หม่อมฉันพึงได้ตำแหน่งเอตทัคคะผู้เป็นเลิศกว่าเหล่าพระเถรีทั้งหลายผู้ทรงพระวินัยในสำนักของพระศาสดาพระองค์หนึ่งในอนาคตเถิด” พระปทุมุตระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระอนาคตังสญาณว่า ความปรารถนานี้จะสำเร็จจึงทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า “อนาคตกาลนานไปในเบื้องหน้า พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระโคดมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก หญิงผู้นี้จักมีนามว่าปฏาจารา เป็นพระภิกษุณีผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในด้านทรงพระวินัยในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น”

กาลต่อมาสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสป พระเถรีบังเกิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากิงกิ มีพี่น้องร่วมอุทร ๗ องค์ คือ นางสมณี นางสมณคุตตา นางภิกขุนี นางภิกขุทาสิกา นางธัมมา นางสุธัมมา และนางสังฆทาสี ได้ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี สร้างบริเวณถวายภิกษุสงฆ์ ครั้งสิ้นชีพแล้วไปบังเกิดในเทวโลก เสวยสมบัติอยู่พุทธันดรหนึ่ง พระธิดาทั้ง ๗ องค์นี้ ในพุทธกาลปัจจุบัน คือ พระเขมาเถรี พระอุบลวรรณาเถรี พระปฏาจาราเถรี พระนางกุณฑลเกสีเถรี พระกิสาโคตมีเถรี พระธรรมทินนาเถรี และนางวิสาขามหาอุบาสิกา

พุทธุปบาทกาลนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าพระโคดมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระปฏาจาราเถรีบังเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล บิดามารดาเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวย นางจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี นางเป็นหญิงรูปร่างงดงาม แต่หลงรักชายคนใช้ของนางเอง เมื่อบิดามารดาจะหาชายหนึ่งในชนชั้นเดียวกันมาแต่งงานด้วย นางจึงนัดแนะให้คนใช้พาหนีแล้วไปสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยในชนบทอันทุรกันดารแห่งหนึ่ง เวลาผ่านไปไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ ในเวลาใกล้คลอดนางมีความกังวลใจเพราะไม่มีบิดามารดาและญาติอยู่ใกล้ นางจึงขอร้องให้สามีพากลับไปหาบิดามารดา เมื่อสามีปฏิเสธการขอร้องเพราะกลัวเกรงบิดามารดาของนางจะเอาโทษ นางจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพียงลำพัง นางคลอดบุตรคนแรกในระหว่างทาง เมื่อสามีตามไปพบเข้าได้ชี้แจงเหตุผลต่างๆแล้วพานางกลับบ้านได้สำเร็จ ในเวลาต่อมานางก็ตั้งครรภ์อีกเป็นครั้งที่สองและขอร้องสามีเหมือนครั้งก่อน เมื่อสามีปฏิเสธคำขอร้องเหมือนครั้งที่แล้ว นางจึงพาบุตรน้อยผู้กำลังหัดเดินหนีออกจากบ้าน ในระหว่างทางนางปวดท้องอย่างรุนแรงเพราะกำลังจะคลอดบุตรและฝนได้ตกลงมาอย่างหนักนั้น สามีก็ตามมาพบเข้านางจึงขอร้องให้หาที่กำบังฝนให้ ฝ่ายสามีก็ไปตัดไม้เพื่อที่จะทำที่กำบังฝนให้นางเวลานั้นเองสามีของนางก็ได้ถูกงูพิษกัดเข้าจนเสียชีวิตลง นางเฝ้ารอสามีกลับมาแต่ก็ไม่กลับมาเสียทีจนกระทั้งต้องคลอดบุตรคนที่สองท่ามกลางสายฝน ทารกทั้งสองทนลมและฝนไม่ได้ต่างก็ร้องไห้ลั่น นางจึงได้คร่อมบุตรทั้งสองด้วยมือและหัวเข่าต่างหลังคา เพื่อกำบังฝนให้ตลอดราตรี จนร่างกายซีดเหมือนไม่มีโลหิต

ครั้นเวลาเช้านางอุ้มบุตรที่เพิ่งคลอดและจูงบุตรคนแรกเพื่อไปตามหาสามีก็พบว่าสามีตายเสียแล้ว นางจึงร้องไห้รำพันว่าเป็นเพราะตนทีเดียวจึงทำให้สามีตาย เมื่อคลายความเศร้าลงนางจึงคิดพาบุตรกลับไปยังบ้านบิดามารดา พอมาถึงแม่น้ำอจิรวิดีน้ำนั้นสูงท่วมถึงหน้าอกเพราะฝนตกตลอดคืน นางจึงให้บุตรคนแรกรอที่ฝั่งนี้ และได้พาบุตรที่เพิ่งคลอดข้ามไปเอาใบไม้ปูรองไว้ แล้วข้ามกลับมารับบุตรคนแรก ระหว่างที่อยู่กลางแม่น้ำเหยี่ยวก็ได้โฉบลงมาเอาบุตรที่เพิ่งคลอดไปด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเนื้อเพราะเพิ่งคลอดใหม่ๆตัวยังแดงอยู่ นางเห็นดังนั้นจึงโบกมือไล่เหยี่ยวพลางส่งเสียง แต่เหยี่ยวก็ไม่ได้ยินโฉบเอาบุตรของนางไปกินเสีย ฝ่ายบุตรคนแรกเห็นมารดาโบกมีนึกว่ามารดาเรียกจึงลงน้ำไปกระแสน้ำนั้นรุนแรงนักก็ได้พัดบุตรของนางจมหายไปในขณะนั้นเอง

นางร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก เมื่อตั้งสติได้ นางเดินร้องไห้เข้าสู่เมืองสาวัตถี และได้ทราบข่าวจากชาวเมืองในระหว่างทางว่า เมื่อคืนลมพายุได้พัดเรือนบิดามารดาของนางพังทลายและเจ้าของเรือนก็ตายไปด้วยทั้งหมด เพิ่งเผารวมกันไปนี้เอง เมื่อทราบดังนี้นางไม่อาจตั้งสติได้ก็กลายเป็นคนวิกลจริตไปเสีย เที่ยวกระเซอะกระเซิงไป ไม่รู้สึกถึงผ้าที่นุ่งซึ่งได้หลุดลง คนทั้งหลายเห็นนางแล้ว เข้าใจว่าหญิงบ้า จึงเอาหยากเยื่อกอบฝุ่นโปรยลงบนศีรษะ ขว้างด้วยก้อนดิน

ขณะนั้นพระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ในพระเชตวันมหาวิหารได้ทอดพระเนตรเห็นนางจึงทรงดำริว่า “เว้นแต่เราเสียผู้อื่นที่ได้ชื่อว่าจะเป็นที่พึ่งแก่หญิงคนนี้ย่อมไม่มี” จึงทรงบันดาลให้นางเดินเข้ามาทางพระเชตวันมหาวิหาร ฝ่ายชนทั้งหลายเห็นนางเดินมาเปลือยกายผ้าผ่อนไม่มีวิกลจริตดังคนบ้าจึงพากันขับไล่ พระศาสดาจึงทรงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ห้ามนางเลยจงให้นางเข้ามา” เมื่อนางเข้ามาใกล้พระศาสดาจึงทรงตรัสว่า “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง” เมื่อนางได้ฟังพระสุรเสียงด้วยพระพุทธานุภาพนั้นก็กลับได้สติโดยพลัน เมื่อเห็นร่างกายตนเปลือยอยู่จึงบังเกิดความละอายนั่งลงคุกเขาไว้ บุรุษผู้หนึ่งจึงโยนผ้าให้นาง เมื่อนางห่มผ้าเรียบร้อยแล้วจึงเข้าไปกราบพระบาทพระบรมศาสดาแล้วกราบทูลว่า “ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งแก่หม่อมฉันเถิดพระเจ้าข้า เพราะว่าเหยี่ยวโฉบบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาก็ถูกเรือนทับตาย เขาเผาเชิงตะกอนเดียวกันนั้นเอง”

พระศาสดาทรงสดับคำของนางแล้วทรงตรัสว่า “ปฏาจารา อย่าคิดมากเลย น้ำในสมุทรทั้ง๔ นั้นยังมีประมาณน้อยกว่าน้ำตาของคนผู้ประสบความทุกข์ความเศร้าโศกเพราะพลัดพรากจากคนอันเป็นที่รัก แล้วพากันเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะสงสาร น้ำตานั้นมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งหลาย เหตุไร เธอจึงประมาทอยู่เล่า”

นางได้ฟังดังนั้นจึงค่อยคลายความเศร้าโศกลง แล้วทูลขอบวช เมื่อบวชแล้ววันหนึ่งพระเถรีได้ฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์พระศาสดาว่า “ผู้ใด ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมอยู่พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี แต่ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้เห็นความเกิดและความเสื่อม ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของผู้นั้น” เมื่อสดับดังนั้นต่อมาไม่นานพระเถรีก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ท่านมีความฉลาดร่ำเรียนในพระวินัยอย่างช่ำชอง

ภายหลังพระศาสดาทรงสถาปนาเหล่าภิกษุณีไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระปฏาจาราเถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาทั้งหลาย ด้านผู้ทรงวินัย พระปฏาจาราเถรีดำรงธาตุขันธ์อยู่พอควรแก่กาลเวลาแล้วก็นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานนั้นเอง

ที่มา :  https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=448

Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: