วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ผลดีของการบวชเป็นสมณะ (ตอน 1)

ผลดีของการบวชเป็นสมณะ (ตอน 1)

[ณ มหาปราสาทชั้นบน กรุงราชคฤห์ ในคืนพระจันทร์เต็มดวง พระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธได้กล่าวกับเหล่าราชอำมาตย์ว่า]

อ:  ท่านทั้งหลาย คืนนี้พระจันทร์แจ่มกระจ่าง งดงามน่าชมนัก ค่ำคืนแบบนี้เราควรไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดดีที่จะทำให้เราเกิดความเลื่อมใสได้.

[เหล่าอำมาตย์แต่ละคนก็เสนอต่างกันไปตามที่ตนเห็นว่าเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นเจ้าคณะเก่าแก่ ผู้คนยกย่องว่าดี ซึ่งมีทั้งปูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถนาฏบุตร ในขณะที่หมอชีวกโกมารภัจซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ได้ตอบอะไร]

อ:  ชีวก เพื่อน ทำไมเธอนิ่งล่ะ?

ช:  ข้าแต่พระองค์ ตอนนี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่สวนอัมพวันของข้าฯ พร้อมด้วยเหล่าภิกษุประมาณ 1,250 รูป ด้วยชื่อเสียงที่รู้กันไปทั่วแล้วว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง ขอท่านไปพบพระพุทธเจ้าเถิด

อ:  ถ้าอย่างนั้น ท่านจงสั่งให้เตรียมช้างไว้.

[พระเจ้าอชาตศัตรูขี่ช้างออกไป พร้อมกับเหล่าสตรีจำนวนมากซึ่งก็ขี่ช้างไปคนละเชือกๆ แต่เมื่อใกล้ถึง พระเจ้าอชาตศัตรูกลับรู้สึกกลัวขึ้นมา]

อ:  ชีวก  ท่านไม่ได้หลอกเรามาให้ข้าศึกใช่ไหม ทำไมภิกษุหมู่ใหญ่ถึง 1,250 รูป จึงไม่มีเสียงพูดคุยหรือไอจามเลย?

ช:  ท่านไม่ต้องกลัว ข้าฯไม่ได้หลอกท่านหรอก เดินทางต่อเถิด นั่นไฟจากโรงที่พักก็ยังมีอยู่

[เมื่อลงเดินและเข้าประตูโรงที่พักไปแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูก็ถามว่า]

อ:  ชีวก ไหนพระพุทธเจ้า ?   ช:  นั่น พระพุทธเจ้านั่งพิงเสากลาง หันไปทางทิศตะวันออก มีภิกษุสงฆ์ล้อมรอบอยู่

[พระเจ้าอชาตศัตรูได้เข้าใกล้ๆ และชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์ต่างนั่งสงบเหมือนห้วงน้ำใส จึงอุทานขึ้นว่า]

อ:  ขอให้อุทัยภัทรกุมารของเรา จงมีความสงบดังเช่นภิกษุเหล่านี้เถิด.

พ:  มหาบพิตร ท่านมาด้วยความรัก.   

อ:  ใช่แล้วท่าน อุทัยภัทรกุมารเป็นที่รักของข้าพระองค์.

[หลังจากพระเจ้าอชาตศัตรูไหว้และทักทายพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้กล่าวว่า]

อ:  ข้าฯอยากจะขอถามปัญหาบางเรื่องกับท่านสักเล็กน้อย.

พ:  เชิญเถิด    

อ:  ผู้คนที่ใช้ชีวิตในสังคม ต่างมีฝีมือประกอบอาชีพ หาเลี้ยงดูแลตัวเอง พ่อแม่ ลูกเมีย และเพื่อนฝูง ซึ่งมีข้อดีคือ มีความสุขอิ่มหนำสำราญ มีโอกาสทำทานกับสมณพราหมณ์ทั้งหลายที่ให้ผลบุญมาก ได้ไปเกิดในสวรรค์    แล้วการออกบวชเป็นสมณะนี่มีข้อดีอะไร (สามัญญผล) ที่คนเห็นผลประจักษ์ในปัจจุบันได้แบบนี้บ้าง ท่านพอจะบอกข้าฯได้ไหม?

พ:  ปัญหาข้อนี้ ท่านได้ถามสมณพราหมณ์พวกอื่นแล้วหรือยัง?   

อ:  ถามแล้วท่าน

พ:  แล้วเขาเหล่านั้นตอบว่าอย่างไร?  ถ้าท่านไม่หนักใจก็ช่วยเล่าให้ฟังด้วยเถิด.    

อ:  ครูปูรณกัสสปตอบว่า เมื่อมีการฝึกตัวเอง มีศีล จะทำอะไร หรือใช้ให้ใครทำอะไร ก็เหมือนไม่ได้ทำ บาปบุญมาไม่ถึง

ครูมักขลิโคสาลตอบว่า ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย คนดีคนเลวเวียนว่ายไป จะพ้นทุกข์ได้ก็ด้วยความบังเอิญเหมือนกลุ่มด้ายที่คนขว้างออกไปก็จะคลี่คลายของมันเอง

ครูอชิตเกสกัมพลตอบว่า ทานไม่มีผล กรรมไม่มีผล โลกหน้าไม่มี สมณพราหมณ์ที่รู้แจ้งด้วยตัวเองไม่มี คนเรานี้มีแต่กองธาตุ ตายแล้วก็จบกัน ขาดสูญพินาศสิ้น ไม่มีอะไรเหลือ

ครูปกุทธกัจจายนะตอบว่า สภาวะ 7 กองคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สุข ทุกข์ และชีวะนั้นเที่ยง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครทำลาย คนจะตัดหัวกันก็ไม่ได้ชื่อว่าฆ่าใครตาย เพราะเป็นแต่อาวุธที่สอดเข้าไปในสภาวะทั้ง 7 กองนั้นเท่านั้น

ครูนิครนถนาฏบุตรตอบว่า นิครนถ์เป็นผู้สำรวมระแวดระวัง (สังวร) 4 ข้อ คือ ห้ามน้ำทั้งปวง ประกอบด้วยน้ำทั้งปวง กำจัดน้ำทั้งปวง และประพรมด้วยน้ำทั้งปวง เรียกได้ว่าเป็นผู้สำรวมตั้งมั่น

ครูสัญชัยเวลัฏฐบุตรตอบว่า ถ้าถามเราว่ามีโลกหน้าไหม ถ้าเราเห็นว่ามี ก็จะตอบว่ามี ถ้าถามเราว่าไม่มีโลกหน้าใช่ไหม ถ้าเราเห็นว่าไม่มี ก็จะตอบว่าไม่มี

แต่ละคนนี้ ข้าฯถามอย่าง กลับตอบอีกอย่าง เหมือนถามถึงมะม่วง ไปตอบขนุน แต่ข้าฯก็คิดว่าเราไม่ควรไปก้าวร้าวสมณะหรือพราหมณ์ผู้อาศัยอยู่ในราชอาณาเขตของเรา จึงไม่ได้โต้แย้งอะไร ได้แต่ลุกจากไป ซึ่งในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งหมดนี้ ข้าฯคิดว่าครูสัญชัยเวลัฏฐบุตรโง่กว่าใครเพื่อน เพราะตอบดิ้นไปดิ้นมา

อ:  คราวนี้ข้าฯขอถามท่านบ้าง การออกบวชเป็นสมณะนี่มีข้อดีอะไรที่คนเห็นผลประจักษ์ได้ในปัจจุบัน?

พ:  การออกบวชเป็นสมณะ สามารถเห็นผลดีได้ในปัจจุบัน ท่านลองคิดดูเอา

สมมติว่าท่านมีทาสกรรมกรคนหนึ่ง คอยฟังคำสั่งรับใช้ท่าน ตื่นก่อนนอนทีหลัง เขาคิดว่าเราก็คน พระองค์ก็คน แต่พระองค์มีพร้อม มีคนรับรับใช้ดุจเทพเจ้า ส่วนเราสิต้องมาเป็นทาสรับใช้ ถ้างั้น เราควรต้องทำบุญบ้างจะได้เหมือนพระองค์ท่าน ออกบวชเป็นบรรพชิตดีกว่า จากนั้นเขาก็ออกบวช สำรวมกายใจ ถือสันโดษ เมื่อเป็นอย่างนี้ พระองค์จะบอกไหมว่า นี่เป็นคนของพระองค์ ให้กลับมาเป็นทาสพระองค์เหมือนเดิม?

อ:  มิได้ท่าน ที่จริงข้าฯควรต้องลุกไหว้เขาเสียอีก ควรจะให้จีวรและบิณฑบาต ดูแลคุ้มครองเขาด้วยความเป็นธรรม

พ:  ท่านคิดอย่างไร นี่นับเป็นผลดีที่เห็นประจักษ์ได้ไหม?  

อ:  ได้แน่นอนท่าน.   

พ:  นี่เป็นผลดีข้อแรก.

[ถัดไป พระพุทธเจ้าได้ยกตัวอย่างชาวนาคฤหบดีที่ต้องจ่ายภาษีให้พระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูก็เห็นด้วยว่าถ้าบวช ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีอีก และควรต้องได้รับการดูแลคุ้มครองด้วย]

อ:  มีผลดีอื่นที่ละเอียดประณีตขึ้นกว่านี้ไหมท่าน?   

พ:  ผู้ออกบวชที่หมั่นศึกษาปฏิบัติ จะเป็นผู้สำรวมสันโดษ มีสติสัมปชัญญะถึงพร้อมด้วยศีล.  

อ: อย่างไรถึงเรียกว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล?

_____

ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 11 (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ภาค 1 เล่ม 1 สามัญญผลสูตร), 2559, น.243-262

เมื่อได้ยินอะไรมาให้ตรวจสอบเทียบเคียงกับพระสูตรและพระวินัย , อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า,  คืนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า , บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ใหญ่ 2 คราว , ใครที่ได้มาสังเวชนียสถานด้วยจิตเลื่อมใส เมื่อตายไปจะเข้าถึงสุคติ , วิธีปฏิบัติต่อสตรีและพระพุทธสรีระ , สอนพระอานนท์เป็นครั้งสุดท้าย , ชื่นชมพระอานนท์ , ควรเปิดใจรับฟังคำว่ากล่าวตักเตือนได้ , ยังไม่มีผู้ที่สงบจากบาปกิเลสได้ด้วยหลักคำสอนอื่นนอกพุทธศาสนานี้ , ธรรมสังเวช , คำพูดสุดท้ายของพระพุทธเจ้า , ลมหายใจเข้าออกของพระพุทธเจ้าผู้สงบตั้งมั่น ไม่มีแล้ว , ช่วงเวลาถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า , การแบ่งพระสารีริกธาตุ (อัฐิของพระพุทธเจ้า)  ,  ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเลือกปรินิพพานที่กุสินารา , 62 ความเห็นที่เปรียบดังตาข่ายคลุมให้ติดอยู่กับการเวียนว่าย ,  สิ่งอัศจรรย์เดียวที่พระพุทธเจ้ายกย่องคือ คำสอนที่ปฏิบัติแล้วเห็นผลพ้นทุกข์ได้จริง , ผลดีของการบวชเป็นสมณะ (ตอน 1) , (ตอน 2)(ตอน 3)



Previous Post
Next Post

0 comments: