วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

“อาวุธ ๓ อย่าง ที่ภิกษุมีแล้ว ย่อมไม่ครั่นคร้าม ย่อมได้ที่พึ่งอาศัย”


“อาวุธ ๓ อย่าง ที่ภิกษุมีแล้ว ย่อมไม่ครั่นคร้าม ย่อมได้ที่พึ่งอาศัย”

อาวุธ ๓ อย่าง คือ  ๑. สุตาวุธ  (อาวุธคือการฟังหรือการศึกษา) ๒.ปวิเวกาวุธ  (อาวุธคือความสงัด) ๓. ปัญญาวุธ  (อาวุธคือปัญญา)

อาวุธคือสุตะนั้น ได้แก่พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก  เพราะว่า ภิกษุอาศัยการศึกษาพระไตรปิฎกนั้น คืออาศัยอาวุธ ๕ ประการ (คือนิกาย ๕ มีทีฆนิกายเป็นต้น) ย่อมเป็นผู้ไม่ครั่นคร้าม ข้ามล่วงสังสารกันดารได้ เหมือนทหารกล้าไม่ครั่นคร้ามข้ามล่วงมหากันดารได้ฉะนั้น  เพราะเหตุนั้นแหละ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้มีสุตะเป็นอาวุธ ย่อมละอกุศล ทำกุศลให้เจริญ ละสิ่งที่มีโทษ ทำสิ่งที่ไม่มีโทษให้เจริญ บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่ดังนี้”

อาวุธคือวิเวก  วิเวกคือความสงัด ๓ ประการคือ ๑. กายวิเวก ความสงัดกาย  ๒. จิตตวิเวก ความสงัดใจ  ๓.อุปธิวิเวก ความสงัดจากกิเลสอันเป็นเหตุสร้างกรรม  วิเวก ๓ ประการนั้นมีการกระทำต่างๆ กันดังนี้ ๑.กายวิเวกสำ หรับบุคคลผู้มีกายหลีกออกไปจากกาม ยินดีในเนกขัมมะ เที่ยวไปผู้เดียว ๒.จิตตวิเวก สำหรับบุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ บรรลุถึงความผ่องแผ้วอย่างยอด สงัดจากนิวรณ์ (ท่านหมายเอา จิตแห่งผู้มีสมาธิและสติ) และ ๓.อุปธิวิเวก สำหรับบุคคลผู้ไม่มีอุปธิ บรรลุถึงซึ่งวิสังขาร (คือพระนิพพาน)  ก็บุคคลผู้ยินดียิ่งแล้วในวิเวก ๓ อย่างนี้ ย่อมไม่กลัวแต่ที่ไหนๆ  เพราะฉะนั้น วิเวกแม้นี้ก็เรียกว่าอาวุธ เพราะอรรถว่า “เป็นที่พึ่งอาศัย”

อาวุธคือปัญญา ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ จัดเป็นอาวุธคือปัญญา  เพราะว่า บุคคลผู้มีอาวุธคือปัญญานั้น ย่อมไม่กลัวแต่ที่ไหนๆ ทั้งใครๆ ก็ไม่กลัวบุคคลนั้นด้วย เพราะฉะนั้น ปัญญาแม้นั้นก็เรียกว่าอาวุธ เพราะอรรถว่า “เป็นที่พึ่งอาศัย”  

เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้มีอาวุธ ๓ ประการนี้ ย่อมไม่ครั่นคร้าม ย่อมเป็นที่พึ่งอาศัยทั้งแก่ตนและชนเหล่าอื่น.  สาระธรรมจากสังคีติสูตรและอรรถกถา (ติกวณฺณนา)

*แนวทางการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา

หลักของการเจริญวิปัสสนา คือให้มีสติ รู้รูปธรรม นามธรรม ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลางสติ คือการระลึกรู้ ไม่ใช่กำหนด  รู้ ไม่ใช่คิด ไม่ใช่เพ่ง คำว่า รูปนาม ที่เข้าใจง่ายแต่ไม่ตรงทีเดียว คือกายกับใจ ความเป็นจริง คือเห็นว่าไม่เที่ยง; ถูกบีบคั้น ทนอยู่ไม่ได้; บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนถาวร จิตที่ตั้งมั่น คือจิตที่มีสัมมาสมาธิตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู จิตไม่เผลอลืมสิ่งที่ถูกรู้ และจิตไม่ไหลไปเพ่งจ้องสิ่งที่ถูกรู้  เป็นกลาง คือสักว่ารู้โดยไม่เข้าไปแก้ไข หรือแทรกแซง เห็นแล้วไม่ยินดีไม่ยินร้าย


เรื่องเรียบง่ายและธรรมดาที่เรียกว่าธรรมะ

ธรรมะจริงๆ ง่ายมากเลย ง่ายแบบเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดเลย เป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด คือเรื่องของตัวเราเองนี่เอง เรื่องของกายเรื่องของใจนี่เอง ทีนี้เราไปวาดภาพธรรมะเอาไว้จนยุ่งเหยิง เราคิดว่าการปฏิบัติธรรมนั้นต้องทำอะไรที่เหนือธรรมดา แล้ววันหนึ่งจะได้สิ่งที่เหนือธรรมดา อันนั้นเข้าใจผิด.

การปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็คือการศึกษาธรรมะนั่นเอง ธรรมะก็คือกายกับใจ กายเรียกว่ารูปธรรม ใจเรียกว่านามธรรม ให้เราศึกษากาย ศึกษาใจ ศึกษาไปเรื่อย ตามดูว่าความเป็นจริงของกายเป็นยังไง ความเป็นจริงของใจเป็นยังไง ตัวความเป็นจริงนั่นแหละ ตัวธรรมะ ถ้าเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจ ก็คือเข้าถึงธรรมะ.

ถ้าวันใดเข้าใจธรรมะแล้ว เห็นว่ากายกับใจไม่ใช่ตัวเรา อันนี้แหละที่เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรม พระโสดาบันมีดวงตาเห็นธรรม คือได้เห็นความจริงว่ากายกับใจไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี...

หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย ลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลา จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป เพราะถึงเวลานั้น พวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง ไปอีกแสนนาน….

Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: