วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ศาสดาของโลกสุดท้ายเหลือคนเดียว

ศาสดาของโลกสุดท้ายเหลือคนเดียว

ครั้งหนึ่ง มนุษย์ในโลกได้เรียกประชุมบรรดานักปราชญ์ทั้งหมด บรรดามีอยู่ในพื้นพิภพมาประชุมกันในห้องโถงแห่งหนึ่ง รวมเป็นจำนวน ๑๐๐ คนพอดี แล้วกล่าวกะท่านปราชญ์เหล่านั้นว่า พวกเราต้องการศึกษาของจริงจากพวกท่านทั้งหลาย ไม่ต้องการของเท็จ แม้แต่ที่ท่านจะสอนไปด้วยความไม่รู้เท่าถึงการ เพราะฉะนั้น ท่านผู้ใดไม่แน่ใจว่าความรู้ของตนถูกต้องจริงแท้ทั้งหมด อาจจะมีของผิดปนอยู่บ้างในคำสอนของตนแล้ว เชิญท่านผู้นั้นออกไปเสียจากห้องนี้.

พอขาดคำลง นักปราชญ์จำนวนหนึ่งได้เดินทยอยกันออกไป พร้อมกับปิดประตูกระแทกดังปังๆด้วยความไม่พอใจ ในการที่พวกมนุษย์พากันกระทำเอาถึงเพียงนั้น; ในที่สุดเหลือนักปราชญ์อยู่ในห้องนั้นเพียง ๕๐ คน เท่านั้น ที่กล้ายืนอยู่ เป็นการท้าทายถึงความรู้อันถูกต้องของตนเอง. 

แล้วพวกมนุษย์ได้พากันหันหน้าไปยังนักปราชญ์ ๕๐ คนที่เหลือ แล้วกล่าวว่า เราขอแสดงความเคารพต่อท่านทั้งหลาย ที่มีความเชื่อตัวเอง ในความรู้ของตัวเอง แต่ พวกเราทั้งหลายในที่นี้มีความประสงค์จะรู้จักท่านที่มีความรู้จริง และตนเองก็ได้ปฏิบัติตามความรู้นั้นอยู่จริงๆ ไม่เพียงแต่สอนผู้อื่นโหวกๆไป. เพราะฉะนั้น ท่านผู้ใดกล้ายืนยันว่า ตนเองก็ปฏิบัติได้เหมือนกับความรู้ที่สอนเขาแล้ว จงยับยั้งอยู่ในห้องนี้. ท่านผู้ใดไม่กล้ายืนยันในความปฏิบัติของตน ผู้นั้นจงออกไป.

พอขาดคำลง ได้มีเสียงประตูปึงปังยิ่งกว่าคราวก่อน. นักปราชญ์จำนวนหนึ่งได้กะวีกะวาดออกจากห้องไป ด้วยอารมณ์ที่รู้สึกว่าตนถูกสบประมาทอย่างยิ่ง. ในที่สุดมีนักปราชญ์เหลืออยู่ในห้องนั้นเพียง ๒๕ คน ที่กล้ายืนยันความปฏิบัติจริงของตัว.

พวกมนุษย์ได้ผินไปยังนักปราชญ์ยี่สิบห้าคนนั้นแล้วกล่าวว่า เรายินดีที่ได้เห็นผู้มีความเป็นอยู่อันตรงกันทั้งกายและใจ แต่ เราอยากจะขอร้องว่า ในบรรดาท่านทั้งหลายนี้ ท่านผู้ใดมีใจมากไปด้วยความกรุณาต่อสรรพสัตว์ในสากลโลก กล้าเสียสละประพฤติประโยชน์แก่เขาจนยอมเสียชีวิตของตัว ท่านผู้นั้นจงหยุดอยู่ในห้องนี้ ท่านผู้ใดไม่กล้ายืนยันในการเสียสละชีวิตของตน เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์โลกแล้ว ท่านผู้นั้นจงออกไป.

พอขาดคำลง นักปราชญ์จำนวนหนึ่งได้อันตรธานไปแล้ว บางคนออกไปตั้งแต่พวกมนุษย์เหล่านั้นกล่าวยังไม่ถึงพยางค์สุดท้าย เพราะตนเดาได้ว่าเขาจะว่าอย่างไร. ทุกคนไม่พอใจอย่างแรงที่มนุษย์เรียกร้องเอามากถึงปานนั้น. ในที่สุดเหลือนักปราชญ์อยู่ในห้องนั้น เพียง ๒ คน ที่ยืนยันในการเสียสละชีวิต.

พวกมนุษย์ได้หันไปทำความเคารพต่อนักปราชญ์สองท่านนั้น เป็นอย่างสูง ขอโอกาสแจ้งความปรารถนาแห่งใจของตนเป็นครั้งสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า พวกเราขอร้องว่า ท่านผู้ใดกล้ายืนยันว่า ตนได้เคยเสียสละชีวิตเพื่อผู้อื่นมาแล้วแต่หลัง นับครั้งไม่ถ้วนในอดีต, แม้ในปัจจุบันนี้ก็กำลังเสียสละสิ่งซึ่งมีค่าเทียบเท่า หรือยิ่งกว่าชีวิต และพร้อมเสมอที่จะสละชีวิตเพื่อสัตว์โลกทั้งมวล แม้ในอนาคตที่ถ้าหากจะพึงมี ก็พร้อมที่จะเสียสละเห็นปานนั้น ขอท่านผู้นั้นจงหยุดอยู่, ท่านผู้ใดไม่กล้ายืนยัน จงออกไป. 

พอขาดคำลงไม่นาน มีนักปราชญ์เหลืออยู่ในห้องนั้นเพียง คนเดียว. พวกมนุษย์จึงถามนักปราชญ์ผู้ยังคงยืนอยู่อย่างสง่านั้นว่า ท่านเล่า ทำไมไม่ออกไปเสียด้วย.

“เพราะว่าเรา มีสิ่งทั้งปวงตามที่ท่านขอร้องกะเราว่า ผู้ใดมี ผู้นั้นจงหยุดอยู่. เรายืนยันในความรู้ ยืนยันในการปฏิบัติเหมือนที่มีความรู้ ยืนยันในการเสียสละชีวิตเพื่อผู้อื่นจะได้เข้าถึงความรู้นั้น และยืนยันในการเคยสละชีวิต หรือสิ่งอันมีค่ายิ่งกว่าชีวิตมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเป็นที่สุด. เรามีสิ่งซึ่งท่านท้าทายและคาดคั้น เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ออกไป.”

มนุษย์ทั้งหลายพากันตัวสั่นเทิ้มด้วยความปลาบปลื้ม และความพิศวงระคนกัน, เพราะได้พบบุคคลในความฝันของเขาแล้ว จึงพากันถามว่า ท่านเป็นใครที่ไหนมา?

“ตถาคต บังเกิดขึ้นแล้วในโลก เป็นอรหันต์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกคนควรฝึกไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูทั้งของเทวดาและมนุษย์ เป็นคนตื่น คนรู้ คนเบิกบาน จำแนกธรรมะออกสอนสัตว์. ตถาคตนั้นทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้ ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดาพร้อมทั้งมนุษย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วประกาศ. ตถาคตนั้น ชี้แจงธรรมไพเราะทั้งขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย, สอนคนให้เข้าใจในแบบแห่งการครองชีวิตอันประเสริฐ ด้วยวิธีอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งหัวข้อ และความหมายอันละเอียดทั่วถึง”     - (มหาตัณหาสังขยสูตร มู ม. น. ๔๘๙.)

“ตถาคตไม่ได้เป็นเทวดา ไม่ได้เป็นคนธรรพ ไม่ได้เป็นยักษ์ ไม่ได้เป็นมนุษย์ดอก, อาสวะเหล่าใดที่จะทำให้เราเป็นเทวดา เพราะยังละมันไม่ได้ อาสวะเหล่านั้น เราละได้ขาด ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วน ไม่ให้มีให้เป็นอีกต่อไป.”

“เปรียบเหมือนดอกบัวเขียว บัวหลวง หรือบัวขาว มันเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำตั้งอยู่ น้ำไม่เปียกติดมันได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ตถาคตเกิดขึ้นในโลกก็จริง เจริญขึ้นในโลกก็จริง แต่ตถาคตครอบงำโลกเสียได้ โลกไม่ฉาบทาแปดเปื้อนเราเลย. ท่านจงจำเราไว้ว่าเป็น“พุทธะๆ”ดังนี้เถิด.”  -(จตุก. อํ. ๔๙.)

มนุษย์ในโลกเหล่านั้น จึงพอใจในพระพุทธะแต่พระองค์เดียวตั้งแต่นั้นมา. เขาพากันสละทุกๆอย่าง เพื่อทำตามคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ มีความรู้บริสุทธิ์ มีการปฏิบัติบริสุทธิ์ มีการเสียสละบริสุทธิ์ และเคยเสียสละเพื่อสัตว์โลกมาแล้วนั่นแล.

คัดจากหนังสือ ชุมนุมข้อคิดอิสระ พุทธทาสภิกขุ, ปีที่จัดพิมพ์ : พระพุทธศักราช ๒๕๔๔, จัดพิมพ์โดย : ธรรมทานมูลนิธิ และ ธรรมสภา


ที่มา : 

#ศาสดาของโลกสุดท้ายเหลือคนเดียว ครั้งหนึ่ง มนุษย์ในโลกได้เรียกประชุมบรรดานักปราชญ์ทั้งหมด...

Posted by Duangkaw Olarn on Monday, February 8, 2021
Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: