คำว่า “อันตรธาน” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกไว้ว่า - “อันตรธาน : (คำกริยา) สูญหายไป, ลับไป. (ป., ส.).” พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อนฺตรธาน” ว่า disappearance (การหายหรือสูญหายไป)
คำว่า “อันตรธาน” มีความหมายเฉพาะอย่างหนึ่ง คือหมายถึงความเสื่อมสูญสิ้นไปแห่งพระศาสนา ในคัมภีร์ท่านแสดงไว้ว่ามี ๕ อย่าง เรียงตามลำดับก่อน-หลังแห่งการเสื่อมสูญ คือ
๑. อธิคมอันตรธาน = การเสื่อมสูญไปแห่งการบรรลุมรรคผล คือจะไม่มีใครได้บรรลุมรรคผลอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม
พระปฐมสมโพธิกถาบรรยายว่า - บุคคลที่ได้สำเร็จแก่พระโสดาปัตติผลนั้น ถ้ายังมีอยู่ไม่มากมาตรว่าแต่สักผู้เดียว ก็จัดได้ชื่อว่าอธิคมธรรมยังมิได้อันตรธาน กาลใดหาพระโสดาบันบุคคลมิได้ ก็ได้ชื่อว่าอธิคมธรรมอันตรธานในกาลนั้น
๒. ปฏิปัตติอันตรธาน = การเสื่อมสูญไปแห่งปฏิบัติธรรม คือไม่มีใครเอาพระธรรมวินัยไปปฏิบัติ ทั้งการอบรมตนให้มีคุณธรรม และการอบรมจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลส
พระปฐมสมโพธิกถาบรรยายว่า -
คจฺฉนฺเต กาเล ครั้นกาลล่วงไป ภิกษุทั้งหลายมิได้อาลัยล่วงอาบัติอันใหญ่ คือ อาบัติปาจิตตีย์ ถุลลัจจัย ต่อนานไปก็สำรวมรักษาไว้แต่ครุกาบัติคือสังฆาทิเสสแลปาราชิก ปาราชิกานิ รกฺขนฺตานํ เมื่อภิกษุทั้งหลายยังทรงไว้ซึ่งปาราชิกสิกขาบทยังมีอยู่ตราบใด ปฏิบัติก็จัดได้ชื่อว่ายังไม่อันตรธานในกาลนั้น กาลใดหาภิกษุซึ่งจะสำรวมรักษาปาราชิกสิกขาบทมิได้แล้ว อนฺตรหิตา นาม จัดได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรมอันตรธาน
๓. ปริยัตติอันตรธาน = การเสื่อมสูญไปแห่งปริยัติ คือไม่มีใครศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย
พระปฐมสมโพธิกถาบรรยายว่า -
ยทา สทฺโธ ราชา สมเด็จบรมกษัตริย์ทรงพระราชศรัทธา พระองค์ใส่ลงซึ่งทรัพย์หนึ่งพันในผอบทอง ยังคนให้ยกขึ้นหลังราชคชาธารข้างพระที่นั่งแล้ว ให้เอากลองชัยเภรีไปตีป่าวทั่วขอบเขตขัณฑสีมาเมืองว่า บุคคลผู้ใดรู้คาถามาตรว่า ๔ บาทแล้ว จงมาเอาทรัพย์หนึ่งพัน เมื่อราชบุรุษทั้งหลายนำเอากลองชัยไปเที่ยวตีป่าวถ้วนถึง ๓ วาระแล้ว มิได้เห็นผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งอวดอ้างกล่าวว่า เรารู้คาถาประมาณ ๔ บาทแต่เท่านี้หามิได้ ราชบุรุษทั้งหลายก็นำทรัพย์กลับคืนเข้าสู่ราชคลังหลวงแล้วกาลใด ตทา ปริยตฺติ อนฺตรหิตา นาม ในกาลนั้นและพระปริยัติก็จัดได้ชื่อว่าอันตรธานสาบสูญสิ้นหาเศษมิได้
๔. ลิงคอันตรธาน = การเสื่อมสูญไปแห่งเพศสมณะ คือผู้ทรงเพศสมณะก็สลัดผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ทิ้งเสีย และไม่มีใครบวชในพระพุทธศาสนาอีกต่อไป
พระปฐมสมโพธิกถาบรรยายว่า -
คจฺฉนฺเต กาเล ... ครั้นนานไปพระภิกษุทั้งหลายจะมีความดำริว่า เราจะมาประโยชน์อันใดด้วยผ้าย้อมฝาด ดำริฉะนี้แล้วก็ปลดเปลื้องเครื่องสมณบริขารคือไตรจีวรจากกาย จะผูกพันแต่ข้อหัตถ์บ้าง ที่คอบ้าง จะกระทำกสิกรรมแลพาณิชยกรรมเลี้ยงบุตรแลภรรยา
คจฺฉนฺเต กาเล ครั้นกาลเมื่อตนไปกระทำการงานอยู่ในอรัญราวป่าก็จะมีความดำริว่า เราจะประโยชน์อันใดด้วยผ้ากาสาวพัสตร์อันผูกพันในมือแลคอ คิดฉะนี้แล้วก็จะพากันนำผ้ากาสาวพัสตร์ทิ้งไว้ในอรัญรุกขประเทศ เอตสฺมึ กาเล ลิงคํ อนฺตรหิตํ นาม ในกาลนั้นสมณเพศก็จัดได้ชื่อว่าเสื่อมสูญหาเศษมิได้
๕. ธาตุอันตรธาน = การเสื่อมสูญไปแห่งพระธาตุ ท่านบรรยายว่า เมื่อถึงเวลานั้น พระบรมสารีริกธาตุทั้งมวลที่มีอยู่ในโลกจะมารวมกัน ณ โพธิมณฑล แล้วเกิดเตโชธาตุเผาผลาญสูญสิ้นไปมิได้เหลือเศษ เป็นอันว่าพระพุทธศาสนาอันตรธานไปจากโลกอย่างสิ้นเชิง
พระปฐมสมโพธิกถาบรรยายว่า -
คจฺฉนฺเต กาเล ครั้นกาลล่วงไป ที่ทั้งหลายทั้งปวงปราศจากเครื่องสักการบูชาแล้ว พระบรมธาตุก็จะมาสโมสรสันนิบาตกันเข้าแล้วก็จะเสด็จไปสู่พระมหาเจดีย์อันใหญ่ในลังกาทวีป ครั้นออกจากลังกาทวีปมหาเจดีย์แล้วก็จะเสด็จไปสู่ราชายตนเจดีย์นาคทวีป ครั้นออกจากนาคทวีปแล้วก็จะเสด็จไปสู่โพธิบัลลังก์ พระบรมธาตุทั้งหลายในนาคพิภพก็ดี ในเทวโลกก็ดี ก็เสด็จไปสู่พระมหาโพธิบัลลังก์สิ้น
เอวํ สพฺพา ธาตุโย พระบรมธาตุครั้นประชุมกันด้วยประการดังนี้แล้ว พุทฺธรูปํ กตฺวา กระทำอาการเป็นพระพุทธรูปปรากฏเหมือนอย่างองค์สมเด็จพระศรีสุคตอันประดิษฐานเหนือรัตนบัลลังก์ใต้ควงไม้พระมหาโพธิ ... จะกระทำพระปาฏิหาริย์มีอาการดุจดังพระยมกปาฏิหาริย์ครั้งเมื่อทรมานเดียรถีย์นิครนถ์ในภายใต้ต้นไม้คัณฑามพฤกษ์ ... มนุสฺสภูตสตฺโต เมื่อพระบรมธาตุประชุมครั้งนั้น มนุษย์ทั้งหลายจะได้เห็นหามิได้ ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา ฝ่ายฝูงอมรเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาฬจะพากันสโมสรสันนิบาตประชุมพร้อมกัน ปริเทวนฺตา กันแสงโศกโศกาดูรพูนเทวษ เหมือนครั้งองค์สมเด็จพระโลกเชษฐ์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน ด้วยถ้อยคำว่า อชฺช ทสพโล ปรินิพฺพายติ องค์พระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระอมตมหานิพพานเสียในวันนี้แล้ว อชฺช สาสนํ โอสกฺกติ พระพุทธศาสนาเสื่อมทรุดลงในวันนี้แล้ว อิทํ ปจฺฉิมทสฺสนํ ครั้งนี้เป็นปัจฉิมที่สุด การที่จะได้เห็นไปในเบื้องหน้าไม่มีแล้ว ตั้งแต่นี้ไปโลกก็จะมัวมนอนธการกอปรด้วยกองมืด ...
อถ ธาตุสรีรโต ในลำดับนั้น เตโชธาตุก็ตั้งขึ้นแต่พระสรีรธาตุ เผาผลาญสังหารให้ย่อยยับถึงซึ่งภาวะหาบัญญัติมิได้ ...
เรื่องอันตรธานนี้ท่านแสดงไว้ตั้งแต่ในยุคสมัยที่พระศาสนากำลังรุ่งเรือง น่าคิดว่า ก็เมื่อพระศาสนารุ่งเรืองอยู่เช่นนั้นจะมากล่าวถึงเรื่องพระศาสนาอันตรธานเสื่อมสูญเพื่ออะไร และเราท่านในบัดนี้เมื่อได้สดับเรื่องพระศาสนาอันตรธานแล้วคิดอย่างไร
ผมว่าใครขบคิดปริศนานี้ออกก็จะได้สติและได้ปัญญา ได้สติ คือไม่ประมาทมัวหลงเพลิดเพลินไปกับโลก
ได้ปัญญา คือแสวงหาและดำเนินไปโดยมรรคาอันจะนำไปสู่ความเป็นอิสระที่แท้จริง-ในขณะที่หนทางนั้นยังมีร่องรอยปรากฏชัดเจนอยู่ รอนานไปจะไม่มีใครรู้จักหนทางนั้น
เรื่องแบบนี้ไม่ต้องรอให้แก่เฒ่าก่อนจึงค่อยคิดหรอกครับ ยังหนุมยังสาวก็คิดได้-ดีกว่าไปคิดได้เมื่อแก่เสียอีก
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย, ๓ กันยายน ๒๕๖๔, ๑๗:๓๔
อันตรธาน, แนวคิดเรื่องอันตรธาน
0 comments: