วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2564

แนวคิดเรื่องอันตรธาน

แนวคิดเรื่องอันตรธาน

ญาติมิตรที่ติดตามผมมาย่อมจะสังเกตได้ว่า ผมพยายามมาตลอดในการกระตุก กระตุ้น กระทบ กระแทก กระทุ้ง ให้ผู้ที่เรียนบาลีมีอุตสาหะลุกขึ้นศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา   ไม่ใช่อิ่มเอมเปรมใจชื่นชมยินดีอยู่แค่ว่าฉันสอบผ่านแล้ว ฉันเรียนจบแล้ว ฉันบรรลุเป้าหมายแล้ว ฉันไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว  เคยนึกเฉลียวใจไหมครับว่า ไม่มีชาติไหนหรือชุมชนไหนในโลกใช้ภาษาบาลีสื่อสารกันในชีวิตประจำวันเลยแม้แต่ชาติเดียวชุมชนเดียว 

แล้วเราเรียนบาลีไปทำไม? 

เรียนภาษาที่ไม่มีใครเขาใช้ พูดสำนวนใหม่ก็ว่า-จะบ้าเรอะ   แหล่งข้อมูลที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีในโลกนี้มีที่เดียวเท่านั้น คือที่เรียกรวมๆ กันว่า-พระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา

พระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกานี่แหละคือเป้าหมายที่นักเรียนบาลีจะต้องบุกเข้าไปให้ถึง  เรียนบาลีแล้ว แต่ไม่ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา ก็ไม่ต่างอะไรกับนักรบที่แต่งเครื่องรบครบเครื่อง แต่ไม่ออกรบ 

ยิ่งถ้ามีศึกสงครามที่ควรจะต้องออกรบ แต่ไม่ออกด้วยแล้ว หมดศักดิ์ศรีเลย

มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระศาสนาที่จะต้องตอบต้องอธิบายต้องชี้แจง เรียนบาลีแล้ว แต่ไม่ค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาหาคำตอบคำอธิบายคำชี้แจง ก็คือนักรบแต่งเครื่องรบครบเครื่อง ข้าศึกก็มาร้องท้าอยู่หน้าค่ายนั่นแล้ว - แต่ไม่ออกรบ ฉันเดียวกันนั่นแล้ว

เรื่อง “อันตรธาน” มีอยู่ในพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา 

ขึ้นไปให้ถึงต้นน้ำนะครับ จะได้สมศักดิ์ศรีหน่อย อย่าดักช้อนเอาตามปลายน้ำ   เรื่องกลองอานกะ เป็นเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงพระศาสนาอันตรธาน มีทั้งในพระไตรปิฎกและในอรรถกถา

กลองอานกะ (๑)กลองอานกะ (๒)การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด 

หนังสือพระปฐมสมโพธิกถาตอนท้ายมีกล่าวด้วยเรื่องอันตรธาน  เรื่องอันตรธานไม่ใช่แนวคิดของผู้แต่งปฐมสมโพธิกถา  ผู้แต่งปฐมสมโพธิกถาเพียงแต่ไปหยิบเอามาจากคัมภีร์  เหมือนคนอ่านหนังสือไม่แตก บอกว่าไตรภูมิพระร่วงเป็นความคิดของพระธรรมราชาลิไท

พระธรรมราชาลิไทท่านเพียงแต่รวบรวมมติจากคัมภีร์มาเรียบเรียงเป็นไตรภูมิพระร่วง มติเหล่านั้นท่านไม่ได้จินตนาการขึ้นมาเอง แต่มีอยู่ในคัมภีร์   แต่เรามักพูดกันว่า เรื่องในไตรภูมิพระร่วงเป็นแนวคิดของพระธรรมราชาลิไท

เมื่อพูดถึงศาสนาเสื่อม มีคนชอบอ้างหลักอนิจจัง  และหลักเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องคำสอนให้ปล่อยวาง   ก็คือจะบอกว่าไม่ต้องไปคิดทำอะไร   ผมว่าก็เหมือนคนที่รู้ว่าเกิดมาแล้วต้องตายแน่  แต่มีใครนอนรอความตายเฉยๆ กันบ้าง? 

ที่พยายามคิดอ่านเรื่องนี้ ไม่ใช่จะพยายามรั้งไม่ให้ศาสนาเสื่อม  แต่พยายามจะบอกว่าเราควรทำอะไรกัน มันจึงจะถูกต้อง   ไม่ใช่นอนรอความเสื่อมอยู่เฉยๆ  จะยกเอาสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมาอ้างก็ได้   เช่นอ้างว่าพระทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ศาสนาก็ยังอยู่ได้  คนไม่สนใจพระไตรปิฎกเลย เขาก็ยังอยู่ได้  ก็อ้างไป

อันที่จริง พูดให้หนักไปกว่านั้นก็ยังได้ -

คนที่นับถือศาสนาอื่น คนที่เขาดูถูกดูหมิ่นศาสนาพุทธ เขาก็ยังอยู่กันมาได้ ไม่เห็นเขาเป็นอะไร  อย่าว่าเพียงแค่มีพระประพฤติวิปริตผิดพระธรรมวินัยเท่านั้นเลย  ต่อให้ไม่ต้องมีศาสนาพุทธทั้งศาสนานั่นเลย โลกนี้ทั้งโลกก็ยังอยู่กันได้ แล้วจะต้องมาเป็นห่วงกังวลอะไรไปทำไม

อยู่กันไปแบบนี้แหละ ใครอยากทำอะไรก็ทำ ใครไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำ นี่แหละเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว

ผมเคยเขียนไว้นานแล้ว ขออนุญาตยกมาปิดท้ายอีกที

ยุคมิคสัญญี คือยุคแห่งความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมนั้นมาถึงแน่   ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นปรารภสู่กันฟัง มิใช่เพื่อจะให้ช่วยกันคิดแก้ไข   เพราะทำอย่างไรก็ห้ามไม่ฟัง รั้งไม่หยุดอยู่แล้ว  เพียงแต่อยากให้ช่วยกันรู้ทันเอาไว้  เหมือนกับนั่งไปในรถไฟขบวนเดียวกัน   และเรารู้แน่แล้วว่าปลายทางของรถไฟขบวนนี้คือหุบเหว  จะทำอะไร จะรักษาชีวิตกันอย่างไร ก็รีบๆ คิดอ่านกันเข้าเถิด  รถไฟขบวนนี้หยุดไม่ได้นะครับ

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย,  ๔ กันยายน ๒๕๖๔,  ๑๖:๓๐

อันตรธาน,  แนวคิดเรื่องอันตรธาน









Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: