ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ เบื้องหน้า-เบื้องหลังของธรรมชาติ
“คําว่า “ธรรมชาติ” ในภาษาพระธรรมหรือภาษาศาสนานั้นมันลึก จนถึงกับว่า “ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ”, การศึกษาของพวกฝรั่งก็ก้าวหน้า จนถึงกับมองเห็นว่าไม่มีอะไรที่มิใช่ธรรมชาติ, เห็นฝรั่งบางคนเขาเขียนสารภาพว่า ก่อนนี้เราก็ยังไม่รู้เรื่องธรรมชาติอันสมบูรณ์ เราจึงมีความคิดว่า มีบางเรื่องอยู่เหนือธรรมชาติ นอกเหนือธรรมชาติ หรือมิใช่ธรรมชาติ มีคําว่า “เหนือ ธรรมชาติ” หรือนอกเหนือธรรมชาติใช้อยู่ ต่อมาก็มองเห็นชัดเจนว่ามันไม่มี แม้เรื่องนั้นก็ยังเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่มันลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ, พวกฝรั่งเขาก็มีคําว่า “ทางจิตทางวิญญาณ” ใช้ขึ้นมาทันที ยกเลิกคําว่าเหนือธรรมชาติหรือนอกธรรมชาติออกไปเสีย เราจึงมีเหลือแต่เรื่องธรรมชาติ
ถ้าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ก็เป็นเรื่องวัตถุ ร่างกาย จิตใจ ไปตามเรื่อง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ถึงกับว่าอยู่เหนือเหตุเหนือปัจจัย มันก็เป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณที่สูงขึ้นไป
ดูธรรมชาติให้เห็นทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ให้ท่านสังเกตดูจนมองเห็นว่า ธรรมชาติเบื้องหน้า คือที่มันปรากฏแก่ตาของคนทั่วไป, ส่วนที่ลึกเกินกว่าที่ตาของคนธรรมดาทั่วไปจะมองเห็นนั้นมันก็มีอยู่_แต่คนทั่วไปมองไม่เห็น, ส่วนนั้นแหละอาตมาจะเรียกว่า “เบื้องหลังของธรรมชาติ” จึงแยกพูดเป็นว่า “เบื้องหน้าของธรรมชาติ” และ “เบื้องหลังของธรรมชาติ”
อะไรที่มันง่าย(อะไรที่เห็นง่าย) จนถึงกับว่าใครมองดูก็เห็นและรู้จัก ตามแบบของคนธรรมดานี่ ก็เรียกว่า “เบื้องหน้าของธรรมชาติ”, แต่ระวังให้ดี เป็นเรื่องหลอกทั้งนั้น
ทีนี้ ถ้าว่า เห็นลึกลงไปกว่านั้น ก็เรียกว่าเห็น“เบื้องหลังของธรรมชาติ” ที่คนธรรมดามองไม่เห็น; มันคล้ายๆกับว่า เป็นหลังฉาก นี่แหละจริง จริงอยู่ที่นั่น เบื้องหน้าธรรมชาติที่คนเห็นนั้นเป็นเรื่องหลอก เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น; ฉะนั้น ถ้าเห็นเบื้องหลังของธรรมชาติแล้วจะเห็นความที่เป็นจริงจนรู้สึกว่า ไม่ควรจะยึดมั่น หรือ ไม่อาจจะยึดมั่น
ดูเบื้องหน้าจะเห็นสิ่งที่หลอกให้หลง
เอ้า, ทีนี้ ก็จะพูดถึงเบื้องหน้าเป็นเรื่องแรก. เบื้องหน้านี้ก็ได้พูดแล้วว่า มันเห็นแต่ผิวเผิน, เห็นสําหรับจะหลงไปตามความหลอกลวง, ความหลอกลวงนี้มันลึกซึ้ง มันหลอกลวงของธรรมชาติ หลอกลวงโดยธรรมชาติ ยากที่จะรู้ทัน คนด้วยกันหลอกกันยังรู้จักง่ายว่าหลอกลวง; แต่ถ้าธรรมชาติหลอกลวงแล้ว ยากที่จะรู้จัก เพราะว่าเรายังไม่มีอะไรเหนือไปกว่าความหลอกลวงของธรรมชาติ
เราเกิดขึ้นมาในโลกนี้ เราก็รับสภาพบัญญัติ สมมติ ต่างๆ ที่เขาใช้กันอยู่ในโลก. ในโลกเขาพูดจากันอย่างไร, บัญญัติกันอย่างไร มีความหมายใช้กันอยู่อย่างไร เราก็ยอมรับสภาพนั้น นี่ก็ควรจะเข้าใจไว้สําหรับผู้ที่สนใจในพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง
เรื่องที่หลอกให้หลงนั้น ก็พอจะแยกออกได้เป็นสามชั้น คือตามที่ “บัญญัติ” อย่างหนึ่ง, แล้วตามที่ “สมมติ” นี้อย่างหนึ่ง, ตามที่ “ยึดถืออยู่เองด้วยอวิชชา” นี้อีกอย่างหนึ่ง ”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาคอาสาฬหบูชา ครั้งที่ ๑๒ ชุดธรรมะคือเรื่องของธรรมชาติ เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๒๓ หัวข้อเรื่อง “เบื้องหน้าเบื้องหลังของธรรมชาติ” จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ธรรมะคือเรื่องของธรรมชาติ” หน้า ๓๖๒ - ๓๖๕
0 comments: