วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเลือกปรินิพพานที่กุสินารา

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเลือกปรินิพพานที่กุสินารา

[ณ ป่าสาลวัน ใกล้กรุงกุสินารา หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวชื่นชมพระอานนท์ให้ภิกษุทั้งหลายฟังแล้ว พระอานนท์ได้พูดกับพระพุทธเจ้าว่า]

อ:  ท่านอย่าปรินิพพานในกิ่งเมืองเล็กๆนี้เลย เมืองใหญ่ๆก็มีอย่างจัมปา ราชคฤห์ สาวัตถี สาเกต โกสัมพี หรือพาราณสี ขอท่านปรินิพพานในเมืองเหล่านี้เถิด กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีมากมายที่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ในเมืองเหล่านี้ ท่านเหล่านั้นจะสักการะบูชาพระสรีระของท่าน

พ:  อย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดว่ากุสินาราเป็นกิ่งเมืองเล็กๆเลย

แต่ปางก่อน มีพระจักรพรรดินามว่ามหาสุทัสสนะ เป็นพระราชาผู้ทรงธรรม เป็นผู้พิชิตถึงมหาสมุทรทั้งสี่ด้าน มีอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ (จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ขุนคลังแก้ว และขุนพลแก้ว)

เมืองกุสินารานี้ เคยมีนามว่ากุสาวดี เป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ยาว 12 โยชน์ (1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร) ตั้งแต่ตะวันออกไปตะวันตก กว้าง 7 โยชน์ตั้งแต่เหนือจรดใต้ เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรือง มีคนอยู่หนาแน่น อาหารการกินหาง่าย เหมือนดั่งอาลกมันทา ราชธานีของเทพเจ้าทั้งหลาย

กุสาวดีราชธานี ไม่เคยเงียบจากเสียงทั้ง 10 ตลอดกลางวันและกลางคืน คือ เสียงช้าง ม้า รถ กลอง ตะโพน (กลองสองหน้าขึงด้วยหนัง) พิณ เพลงร้อง กังสดาล (ระฆังวงเดือนทำด้วยโลหะ) ประโคม (แตรสังข์บรรเลง) และเสียงร้องป่าวเชิญชวนว่าท่านทั้งหลายจงดื่มกินลิ้มรสเป็นเสียงที่สิบ

[ต่อจากนั้น พระพุทธเจ้าได้บรรยายถึงรายละเอียดของเมืองกุสาวดี แก้ว 7 ประการ ความเป็นอยู่ของพระมหาสุทัสสนะและพระนางสุภัททาเทวีซึ่งเป็นพระมเหสี โดยตอนท้ายพระพุทธเจ้าได้เล่ามาถึงตอนที่พระนางสุภัททาเทวีขอพระมหาสุทัสสนะว่าอย่าได้สวรรคตเลย ขอให้อยู่ต่อไปนานๆในเมืองที่มั่งคั่งสมบูรณ์พร้อมนี้เถิด]

พ:  อานนท์ พระมหาสุทัสสนะได้ตอบพระนางสุภัททาเทวีว่า ‘เทวี เมื่อก่อนเธอพูดน่าฟัง แต่มาตอนนี้เธอพูดไม่น่าฟังเลย...เทวี เธอควรจะพูดว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจจะต้องเกิดขึ้น ขออย่าให้พระองค์เป็นห่วงเรื่องสวรรคต การตายของผู้มีห่วงนั้นเป็นทุกข์ ไม่ใช่เรื่องดี ขอให้พระองค์ละความพอใจในนคร ในบัลลังก์ ในสิ่งต่างๆที่ครอบครอง อย่าได้ห่วงหาอาลัยในการมีชีวิตอยู่เลย

อานนท์ เมื่อพระนางสุภัททาเทวีได้ยินดังนี้ก็ร้องไห้ และเมื่อซับน้ำตาแล้วก็ได้พูดกับพระมหาสุทัสสนะตามนั้น ไม่นานหลังจากนั้น พระมหาสุทัสสนะก็สวรรคตเข้าถึงสุคติพรหมโลก

อานนท์ เธอคงจะคิดว่าพระมหาสุทัสสนะนี่เป็นคนอื่น แต่ไม่ใช่เลย สมัยนั้น เราคือพระมหาสุทัสสนะ สิ่งต่างๆมากมายมหาศาลนั้นเป็นของเรา แต่ในบรรดาปราสาทหลายหลังที่มี เราอยู่แค่ปราสาทเดียวเท่านั้น ในบรรดาเรือนหลายหลัง เราก็อยู่แค่หลังเดียว ในบรรดาบัลลังก์ทอง เงิน งา พลอยที่มีมากมาย เราก็นั่งอยู่แค่บัลลังก์เดียว ช้างก็ขี่อยู่เชือกเดียว ม้าก็ขี่อยู่ตัวเดียว รถก็ใช้อยู่คันเดียว หญิงที่ดูแลเราก็มีอยู่คนเดียว ผ้าก็ใช้อยู่คู่เดียว อาหารก็กินอยู่จานเดียว

อานนท์ เธอจงดูสิ สังขารมากมายเมื่อก่อนเหล่านั้นล่วงลับดับไป แปรเปลี่ยนไปหมดแล้ว

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่ายึดติดยินดีอย่างนี้แล

เธอจึงควรที่จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ละหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น

อานนท์ นี่แล เรารู้ที่ที่จะทอดทิ้งร่างกาย เราจะทิ้งร่างกายในเมืองนี้

______

ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 13 (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ภาค 2 เล่ม 1 มหาสุทัสสนสูตรว่าด้วยพระเจ้ามหาสุทัสสนะจักรพรรดิ), 2559, น.467-493

พระพุทธเจ้าปลงสังขาร ,  ปัจฉิมโอวาท  ธรรมที่พระพุทธเจ้าย้ำก่อนปรินิพพาน , เมื่อได้ยินอะไรมาให้ตรวจสอบเทียบเคียงกับพระสูตรและพระวินัย , อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า,  คืนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า , บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ใหญ่ 2 คราว , ใครที่ได้มาสังเวชนียสถานด้วยจิตเลื่อมใส เมื่อตายไปจะเข้าถึงสุคติ , วิธีปฏิบัติต่อสตรีและพระพุทธสรีระ , สอนพระอานนท์เป็นครั้งสุดท้าย , ชื่นชมพระอานนท์ , ควรเปิดใจรับฟังคำว่ากล่าวตักเตือนได้ , ยังไม่มีผู้ที่สงบจากบาปกิเลสได้ด้วยหลักคำสอนอื่นนอกพุทธศาสนานี้ , ธรรมสังเวช , คำพูดสุดท้ายของพระพุทธเจ้า , ลมหายใจเข้าออกของพระพุทธเจ้าผู้สงบตั้งมั่น ไม่มีแล้ว , ช่วงเวลาถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า , การแบ่งพระสารีริกธาตุ (อัฐิของพระพุทธเจ้า)








Previous Post
Next Post

0 comments: