วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ช่วงเวลาถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า

ช่วงเวลาถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า

[ณ สัณฐาคาร (หอประชุม) กรุงกุสินารา ขณะที่เหล่ามัลลกษัตริย์กำลังประชุมกันเรื่องพระนิพพานนั้น พระอานนท์ได้เข้าไปแจ้งข่าวว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ซึ่งเจ้ามัลละต่างเศร้าเสียใจ บางคนคร่ำครวญทำใจไม่ได้ว่าปรินิพพานเร็วนัก ครั้งนั้น เจ้ามัลละได้สั่งเจ้าหน้าที่ว่า]

ม:  จงไปเตรียมของหอม ดอกไม้ และเครื่องดนตรีทุกชนิดในเมืองกุสินาราให้พร้อม

[เจ้ามัลละได้เดินทางไปยังป่าสาลวันและสักการะพระสรีระของพระพุทธเจ้าด้วยการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมของหอม ดอกไม้ ขึงผ้าไว้ด้านบน ตกแต่งสถานที่โดยรอบบริเวณ และเมื่อเวลาล่วงมาถึงวันที่ 7 เจ้ามัลละกำลังจะเชิญพระสรีระไปนอกเมืองทางทิศใต้เพื่อถวายพระเพลิง แต่ผู้นำของมัลละ 8 คนที่สระผมเปลี่ยนผ้าใหม่แล้ว กลับไม่สามารถยกพระสรีระขึ้นได้ เจ้ามัลละจึงได้ถามพระอนุรุทธะว่า]

ม:  เพราะเหตุใดจึงยกไม่ขึ้น?

อ:  พวกท่านต้องการอย่างหนึ่ง พวกเทวดาต้องการอีกอย่างหนึ่ง

ม:  พวกเทวดาต้องการอย่างไร?

อ:  เทวดาต้องการให้เชิญไปทางทิศเหนือของเมือง เข้าเมืองทางประตูทิศเหนือ เชิญไปกลางเมืองแล้วออกทางประตูทิศตะวันออก จากนั้นให้ถวายพระเพลิงที่มกฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละทางทิศตะวันออกของเมือง

ม:  ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นไปตามความประสงค์ของพวกเทวดาเถิด

[เมื่อวางพระสรีระพระพุทธเจ้าที่มกุฏพันธนเจดีย์แล้ว พวกเจ้ามัลละได้ถามพระอานนท์ว่า]

ม:  พวกข้าควรปฏิบัติต่อพระสรีระของพระตถาคตอย่างไร?

อ:  พวกท่านพึงปฏิบัติต่อพระสรีระของพระตถาคตเหมือนกับที่เขาปฏิบัติต่อพระสรีระของพระจักรพรรดิ ปกติแล้วเขาจะห่อพระสรีระของพระจักรพรรดิด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี จากนั้นให้ห่อด้วยผ้าใหม่ ทำแบบนี้ 500 ครั้ง เชิญลงในรางเหล็กที่มีน้ำมันเต็ม ครอบด้วยรางเหล็กอื่น ทำเชิงตะกอนด้วยไม้หอมทุกชนิด แล้วถวายพระเพลิงพระสรีระ มีการสร้างสถูปของพระจักรพรรดิไว้ตรงทางใหญ่ 4 แพร่ง

ใครที่อยากจะยกมาลัย ของหอม หรือผงหอม หรือจะตั้งจิตเลื่อมใสที่สถูปนั้น ก็จะเกิดประโยชน์และความสุขแก่เขาตลอดไป

[พวกเจ้ามัลละจึงได้ห่อพระสรีระของพระพุทธเจ้าด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี จากนั้นให้ห่อด้วยผ้าใหม่ ทำแบบนี้ 500 ครั้ง เชิญลงในรางเหล็กที่มีน้ำมันเต็ม ครอบด้วยรางเหล็กอื่น ทำเชิงตะกอนด้วยไม้หอมทุกชนิด เมื่อพร้อมแล้วก็เชิญพระสรีระของพระพุทธเจ้าขึ้นสู่จิตกาธาน (เชิงตะกอนสำหรับเผาพระสรีระ) แต่ผู้นำของมัลละ 4 คนที่สระผมเปลี่ยนผ้าใหม่แล้ว กลับไม่สามารถจุดไฟให้ติดได้ เจ้ามัลละจึงได้ถามพระอนุรุทธะว่า]

ม:  เพราะเหตุใดจึงจุดไฟไม่ติด?

อ:  พวกเทวดามีความต้องการอย่างหนึ่ง

ม:  พวกเทวดาต้องการอย่างไร?

อ:  เทวดาต้องการให้รอท่านพระมหากัสสปะพร้อมกับภิกษุสงฆ์อีกประมาณ 500 รูปซึ่งกำลังเดินทางไกลมาจากเมืองปาวาก่อน ไฟจะยังจุดไม่ติดจนกว่าท่านพระมหากัสสปะจะได้มากราบเท้าทั้งสองของพระพุทธเจ้าด้วยมือของตน

ม:  ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นไปตามความประสงค์ของพวกเทวดาเถิด

[ก่อนหน้านี้ ทางฝ่ายพระมหากัสสปะและเหล่าภิกษุหมู่ใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารานั้น ได้แวะพักกันที่โคนต้นไม้หนึ่ง ขณะนั้นเองได้มีอาชีวก (นักบวชนอกพุทธศาสนา) คนหนึ่งถือดอกมณฑารพ (ดอกไม้บนสวรรค์ที่ตกลงมาบูชาพระพุทธเจ้าในวันปรินิพพาน) จากในเมืองกุสินาราเดินสวนมา พระมหากัสสปะเห็นอาชีวกเดินมาจึงถามว่า]

ก:   ท่านทราบข่าวพระศาสดาของเราบ้างไหม?

อ:  เราทราบ พระสมณโคดมปรินิพพานแล้ว ถึงวันนี้ก็ 7 วันพอดี นี่เป็นดอกมณฑารพที่เราถือมาจากที่นั่น

[เหล่าภิกษุเมื่อทราบว่าก็มีทั้งที่คร่ำครวญเสียใจกับที่มีสติเข้าใจในความจริง แต่ ณ ที่นั้น ได้มีบรรพชิตผู้บวชตอนแก่ชื่อสุภัททะนั่งอยู่ด้วย ซึ่งสุภัททะได้กล่าวกับเหล่าภิกษุว่า]

ส:  อย่าเศร้าโศกไปเลยท่าน เราเป็นอิสระแล้ว จากแต่ก่อนที่จะมีพระมหาสมณะมาคอยสั่งเราว่าสิ่งนี้ทำได้ สิ่งนี้ทำไม่ได้ มาตอนนี้พวกเราจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ตามใจต้องการแล้ว

[ขณะนั้น พระมหากัสสปะได้กล่าวเตือนภิกษุทั้งหลายว่า]

ก:  พวกท่านอย่าเศร้าโศกร่ำไรไปเลย พระพุทธเจ้าได้บอกกับพวกท่านไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า จะต้องมีการพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก จะเป็นไปได้อย่างไรที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อเกิดมาและก่อร่างขึ้นแล้ว จะไม่แตกดับไป เพราะนั่นเป็นเรื่องธรรมดา ความปรารถนาที่จะขอให้สิ่งนั้นไม่แตกดับไป เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

[หลังจากนั้น พระมหากัสสปะและเหล่าภิกษุ 500 รูปได้เดินทางมาถึงมกุฏพันธนเจดีย์ กรุงกุสินารา เมื่อมาที่จิตกาธาน (เชิงตะกอน) แล้ว พระมหากัสสปะได้ห่มจีวรเฉียงบ่าข้างหนึ่ง พนมมือเดินเวียนขวา 3 รอบ แล้วเข้าไปกราบเท้าพระพุทธเจ้า เหล่าภิกษุ 500 รูปก็ทำเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นไฟก็ติดขึ้นมา

ท้ายที่สุด ไม่มีเถ้าเขม่าจากอวัยวะต่างๆ มีเพียงอัฐิเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ ผ้าที่ไหม้ไฟมีแค่ผืนนอกสุดกับผืนในสุด หลังจากนั้นมีน้ำรินไหลจากอากาศและไม้สาละมาดับไฟ พวกเจ้ามัลละได้รดน้ำหอมดับจิตกาธาน และทำเรือนซี่กรงที่ทำด้วยหอกธนู (สัตติบัญชร) ในสัณฐาคาร ล้อมรอบอัฐิไว้เพื่อสักการะบูชาตลอด 7 วันพร้อมการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ดอกไม้ และของหอมต่างๆ]

____

ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 13 (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ภาค 2 เล่ม 1 มหาปรินิพพานสูตรที่ 3 แจ้งข่าวปรินิพพาน-มัลลปาโมกข์ 8-เรื่องพระมหากัสสปเถระ-เรื่องสุภัททวุฒบรรพชิต-มัลลปาโมกข์ 4-ถวายพระเพลิง), 2559, น.318-324

ให้มีสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้ตัวอยู่ทุกขณะ , จงมีธรรมและตนเองเป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย , พระพุทธเจ้าปลงสังขาร ,  ปัจฉิมโอวาท  ธรรมที่พระพุทธเจ้าย้ำก่อนปรินิพพาน , เมื่อได้ยินอะไรมาให้ตรวจสอบเทียบเคียงกับพระสูตรและพระวินัย , อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า,  คืนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า , บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ใหญ่ 2 คราว , ใครที่ได้มาสังเวชนียสถานด้วยจิตเลื่อมใส เมื่อตายไปจะเข้าถึงสุคติ , วิธีปฏิบัติต่อสตรีและพระพุทธสรีระ , สอนพระอานนท์เป็นครั้งสุดท้าย , ชื่นชมพระอานนท์ , ควรเปิดใจรับฟังคำว่ากล่าวตักเตือนได้ , ยังไม่มีผู้ที่สงบจากบาปกิเลสได้ด้วยหลักคำสอนอื่นนอกพุทธศาสนานี้ , ธรรมสังเวช , คำพูดสุดท้ายของพระพุทธเจ้า , ลมหายใจเข้าออกของพระพุทธเจ้าผู้สงบตั้งมั่น ไม่มีแล้ว










Previous Post
Next Post

0 comments: