วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2564

มหาสุทสฺสนชาตกํ - ว่าด้วยสังขาร

มหาสุทสฺสนชาตกํ - ว่าด้วยสังขาร

"อนิจฺจา  วต  สงฺขารา,          อุปฺปาทวยธมฺมิโน;

อุปฺปชฺชิตฺวา  นิรุชฺฌนฺติ,       เตสํ  วูปสโม  สุโขติ ฯ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา, สังขารทั้งปวงเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความที่สังขารเหล่านั้นสงบระงับเป็นสุข."

มหาสุทัสสนชาดกอรรถกถา

พระบรมศาสดาบรรทมเหนือแท่นปรินิพพานทรงปรารภคำของพระอานนทเถระเจ้าที่ว่า „พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าเสด็จปรินิพพาน ในพระนครเล็ก ๆ นี้เลย“(มหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ ๒๑๐) ตรัสพระธรรม เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  อนิจฺจา  วต  สงฺขารา  ดังนี้.

ความย่อว่า เมื่อพระตถาคตเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารท่านพระสารีบุตรเถระเจ้า ปรินิพพานแล้ว ณ ห้องที่ท่านเกิด ในหมู่บ้านนาลกะ เมื่อวันเพ็ญเดือน ๑๒ พระมหาโมคคัลลานะ ปรินิพพานในวันอมาวสี (สิ้นเดือน) ในกาฬปักษ์ของเดือน ๑๒ นั่นเอง.

พระศาสดาทรงพระดำริว่า „เมื่อคู่อัครสาวกปรินิพพานแล้วอย่างนี้ แม้เราก็จักปรินิพพานในเมืองกุสินารา“ เสด็จจาริกไปโดยลำดับในเมืองนั้น เสด็จบรรทมด้วยอนุฏฐานไสยาเหนือพระแท่น ผันพระเศียรทางอุตตรทิศ ระหว่างไม้รังทั้งคู่.  ครั้งนั้น พระอานนทเถระเจ้า กราบทูลวิงวอนพระองค์ว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าเสด็จปรินิพพานในเมืองเล็ก ๆนี้ เป็นเมืองดอน เป็นเมืองเขิน เป็นเมืองกิ่ง เชิญพระองค์เสด็จปรินิพพาน ณ เมืองมหานคร เมืองใดเมืองหนึ่งบรรดามหานคร มีจัมปากะและราชคฤห์เป็นต้นอื่น ๆ“ 

พระศาสดาตรัสว่า "อานนท์ เธออย่ากล่าวว่า นครนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองดอน เมืองกิ่ง ครั้งก่อนในรัชกาลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิสุทัสสนะเราอยู่ในเมืองนี้ ในครั้งนั้น เมืองนี้แวดล้อมด้วยกำแพง ๑๒ โยชน์เป็นมหานครมาแล้ว“ พระเถระเจ้ากราบทูลอาราธนาทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก มหาสุทัสสนสูตร (ที.ม.) ดังต่อไปนี้ :- 

ก็ในครั้งนั้น เมื่อพระนางสุภัททาเทวี ทอดพระเนตรเห็น   พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เสด็จลงจากปราสาทสุธัมมา เสด็จบรรทมโดยอนุฏฐานไสยา โดยพระปรัศเบื้องขวา เหนือพระแท่นอันสมควร ล้วนแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ อันราชบุรุษจัดไว้ในป่าตาลไม่ไกลนัก จึงกราบทูลว่า „ข้าแต่พระทูลกระหม่อมพระนครแปดหมื่นสี่พัน มีราชธานีกุสาวดี เป็นประมุขเหล่านี้เป็นของทูลกระหม่อม โปรดพอพระทัยในพระนครเหล่านี้เถิด“, พระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสว่า „เทวี อย่าได้พูดอย่างนี้เลย“ จงตักเตือนเราอย่างนี้เถิดว่า „พระองค์จงกำจัดความพอใจในพระนครเหล่านี้เสียให้จงได้เถิด อย่าทรงกระทำความเพ่งเล็งเลย“ พระเทวี ทูลถามว่า „เพราะเหตุไรเล่า พระเจ้าข้า ?“ ตรัสว่า „เราจักต้องตายในวันนี้.“ 

ทันใดนั้นพระเทวีทรงพระกรรแสงเช็ดพระเนตรตรัสคำอย่างนั้นกะพระเจ้ามหาสุทัสสนะ โดยยากลำบาก เอาแต่ทรงพระกรรแสงร่ำไห้ เหล่าสตรีแปดหมื่นสี่พันนางแม้ที่เหลือก็พากันร้องไห้ร่ำไร ถึงในหมู่อำมาตย์เป็นต้น แม้คนเดียวก็ไม่อาจอดกลั้นความโศกไว้ได้ ต่างร้องไห้ระงมทั่วกัน 

พระโพธิสัตว์ห้ามคนทั้งหมดว่า „อย่าเลยพนาย อย่าได้ส่งเสียงคร่ำครวญไปเลยเพราะสังขารที่ชื่อว่าเที่ยง แม้เท่าเมล็ดงาไม่มีเลย ทุกอย่างไม่เที่ยง มีความแตกดับเป็นธรรมดาทั้งนั้น“ เมื่อจะทรงสั่งสอนพระเทวีตรัสพระคาถานี้ ความว่า :- „สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ, มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป เป็นธรรมดา, เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป, การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นสุข.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  อนิจฺจา  วต  สงฺขารา  ความว่า ดูก่อนสุภัททาเทวีผู้เจริญ สังขารทั้งหลายมีขันธ์และอายตนะเป็นต้น อันปัจจัยมีประมาณเท่าใดมาประชุมก่อกำเนิดไว้ ทั้งหมดนั้นชื่อว่าไม่เที่ยงไปทั้งหมด เพราะบรรดาสังขารเหล่านี้รูปไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง จักษุไม่เที่ยง ฯลฯ ธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง รวม ความว่า สิ่งที่ยังความยินดีให้เกิด ทั้งที่มีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้ มีอันใดบ้าง อันนั้นทั้งหมด ไม่เที่ยงทั้งนั้นด้วยเหตุนี้จงกำหนดถือเอาว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ. 

เพราะเหตุไร ? เพราะเป็นอุปปาทวยธรรม คือ เพราะสังขารเหล่านี้ทั้งหมดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วยและมีความเสื่อมเป็นธรรมดาด้วยล้วนมีความเกิดขึ้นและความแตกดับเป็นสภาวะทั้งนั้น เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบเถิดว่า เป็นของไม่เที่ยง ก็เพราะไม่เที่ยง จึงเกิดแล้วก็ดับ คือแม้จะเกิดแล้วถึงความดำรงอยู่ได้ ก็ต้องดับทั้งนั้น แท้จริง สังขารเหล่านี้ทุกอย่างกำลังเกิดชื่อว่าย่อมเกิดขึ้น กำลังสลายชื่อว่าย่อมดับเมื่อความเกิดขึ้นแห่งสังขารเหล่านั้นมีอยู่ชื่อว่าฐีติ จึงมีได้เมื่อ ฐิติมีอยู่ชื่อว่าภังคะ จึงมีได้ เพราะเมื่อสังขารไม่เกิดขึ้นฐีติก็มีไม่ได้, ฐีติขณะปรากฏแล้วชื่อว่าความไม่แตกดับ ก็ไม่มีเพราะฉะนั้น สังขารแม้ทั้งหมด ถึงขณะทั้ง ๓ แล้วก็ย่อมดับไปในขณะนั้น ๆ เอง เพราะเหตุนั้น สังขารเหล่านี้แม้ทั้งหมด จึงเป็นของไม่เที่ยง เป็นไปชั่วขณะ เป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ยั่งยืน เปื่อยเน่า หวั่นไหว โยกคลอน ตั้งอยู่ได้ไม่นานแปรผันได้ เป็นของชั่วคราว ไร้สาระ เป็นเช่นกับของหลอกลวงพยับแดดและฟองน้ำ ด้วยอรรถว่า เป็นของเป็นไปชั่วขณะ. „ดูก่อนสุภัททาเทวีผู้เจริญ เพราะเหตุไรเธอจึงยังสุขสัญญา (ความสำคัญว่า เป็นสุข) ให้บังเกิดขึ้นในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นเล่า อย่าได้ถือเอาอย่างนั้นเลย." 

บทว่า เตสํ  วูปสโม  สุโข  ความว่า „ดูก่อนพระนางสุภัททาเทวีผู้เจริญ สภาพที่ชื่อว่าระงับเสียซึ่งสังขารเหล่านั้นเพราะระงับดับเสียได้ ซึ่งวัฏฏะทั้งมวลได้แก่ พระนิพพานและพระนิพพานนี้อย่างเดียวเท่านั้นชื่อว่าเป็นสุขโดยส่วนเดียว อื่น ๆ ที่จะชื่อว่าเป็นสุขไม่มีเลย ดังนี้.“ 

พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงถือเอายอดแห่งเทศนา ด้วยอมตมหานิพพาน ด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงประทานโอวาทแม้แก่มหาชนที่เหลือว่า ท่านทั้งหลาย จงให้ทาน จงรักษาศีลจงการทำอุโบสถกรรม ดังนี้แล้วได้เป็นผู้มีเทวโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.   พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า สุภัททาเทวีในครั้งนั้นได้มาเป็นราหุลมารดา ขุนพลแก้วได้มาเป็นพระราหุล ส่วนพระเจ้ามหาสุทัสสนะได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali




Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: