วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2564

มหาสารชาตกํ - ต้องการคนที่เหมาะกับเหตุการณ์

มหาสารชาตกํ - ต้องการคนที่เหมาะกับเหตุการณ์

"อุกฺกฏฺเฐ  สูรมิจฺฉนฺติ,      มนฺตีสุ  อกุตูหลํ;

ปิยญฺจ  อนฺนปานมฺหิ,       อตฺเถ  ชาเต  จ  ปณฺฑิตนฺติ ฯ

เมื่อสงครามเกิดขึ้น ย่อมต้องการคนกล้าหาญ, เมื่อเกิดข่าวตื่นเต้นขึ้น ย่อมต้องการคนหนักแน่น, เมื่อข้าวและน้ำมีบริบูรณ์ ย่อมต้องการคนที่รัก, เมื่อข้อความลึกซึ้งเกิดขึ้น ย่อมต้องการบัณฑิต."

มหาสารชาดกอรรถกถา

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภพระอานันทเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  อุกกฏฺเฐ  สูรมิจฺฉนฺติ  ดังนี้. 

สมัยหนึ่ง เหล่าพระสนมของพระเจ้าโกศลคิดกันว่า "ขึ้นชื่อว่าการเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า เป็นสภาพหาได้ยากการกลับได้เกิดเป็นมนุษย์และความเป็นผู้มีอายตนะบริบูรณ์เล่าก็หาได้ยากเหมือนกัน อนึ่งพวกเราแม้จะได้พบความพร้อมมูลแห่งขณะซึ่งหาได้ยากนี้ ก็ไม่ได้เพื่อจะไปสู่พระวิหาร ฟังธรรมหรือกระทำการบูชา หรือให้ทานตามความพอใจของตนได้ ต้องอยู่กันเหมือนถูกเก็บเข้าไว้ในหีบ พวกเราจักกราบทูลพระราชาให้ทรงพระกรุณาโปรดนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งสมควรแสดงธรรมโปรดพวกเรา จักพากันฟังธรรมในสำนักของท่านข้อใดที่พวกเราต้องศึกษา ก็จักพากันเรียนข้อนั้นจากท่านพากันบำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น ด้วยประการอย่างนี้ การได้เฉพาะซึ่งขณะนี้ของพวกเรา จักมีผล“ พระสนมเหล่านั้นแม้ทั้งหมด พากันเข้าเฝ้าพระราชา กราบทูลเหตุที่คบคิดกัน. พระราชาทรงรับสั่งว่า „ดีแล้ว“ 

ครั้นวันหนึ่ง มีพระประสงค์จะทรงเล่นอุทยาน รับสั่งให้เรียกนายอุทยานบาลมาเฝ้า ตรัสว่า „เจ้าจงชำระอุทยาน“ นายอุทยานบาล เมื่อจะชำระอุทยาน พบพระศาสดาประทับนั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง รีบไปสู่ราชสำนัก กราบทูลว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ อุทยานสะอาดราบรื่นแล้ว ก็แต่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่งในอุทยานนั้น พระเจ้าข้า.“  พระราชาตรัสว่า „ดีแล้วสหาย เราจักไปฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา“ เสด็จขึ้นราชรถทรงอันประดับแล้วเสด็จไปสู่พระอุทยานได้เสด็จไปสู่สำนักของพระศาสดา. 

ก็ในสมัยนั้น อุบาสกผู้เป็นพระอนาคามีผู้หนึ่งชื่อว่าฉัตตปาณี นั่งฟังธรรมอยู่ในสำนักของพระศาสดา. พระราชาเห็นฉัตตปาณีอุบาสกแล้วเกิดระแวง ประทับหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วทรงพระดำริว่า „ถ้าบุรุษผู้นี้เป็นคนชั่วละก็คงไม่นั่งฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาชะรอยบุรุษผู้นี้จักไม่ใช่คนชั่ว“ แล้วเสด็จเข้าเฝ้าพระศาสดาถวายบังคมแล้วเสด็จประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง อุบาสกมิได้กระทำการรับเสด็จ หรือการถวายบังคม ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนั้น พระราชาจึงไม่ทรงพอพระทัยฉัตตปาณีอุบาสก.

พระศาสดาทรงทราบความที่พระราชาไม่ทรงพอพระทัยอุบาสก จึงตรัสคุณของอุบาสกว่า „มหาบพิตร ผู้นี้เป็นอุบาสก. เป็นพหูสูต คงแก่เรียน ปราศจากความกำหนัดในกาม“ พระราชาทรงพระดำริว่า „พระศาสดาทรงทราบคุณของผู้ใด ต้องเป็นคนไม่ต่ำ" จึงตรัสว่า „อุบาสกท่านต้องการสิ่งใด ก็ควรบอกได้“ อุบาสกรับสนองพระดำรัสว่า „ดีแล้ว พระเจ้าข้า.“  พระราชาทรงสดับพระธรรม ในสำนักของพระศาสดาแล้วทรงกระทำปทักษิณพระศาสดาแล้วเสด็จกลับไป. 

วันหนึ่ง พระราชาทรงเปิดพระแกล ประทับยืน ณ ปราสาทชั้นบน ทอดพระเนตรเห็นอุบาสกนั้น บริโภคอาหารเย็นแล้วถือร่มเดินไปสู่พระเชตวัน ก็รับสั่งให้ราชบุรุษไปเชิญมาเฝ้าแล้วตรัสอย่างนี้ว่า „อุบาสก ได้ยินว่า ท่านเป็นพหูสูต พวกหญิงของเรา ต้องการจะฟังและต้องการจะเรียนธรรม พึงเป็นการดีหนอ หากท่านจะสอนธรรมแก่หญิงเหล่านั้น“ ท่านฉัตตปาณิอุบาสกกราบทูบว่า „ธรรมดาคฤหัสถ์ทั้งหลาย ไม่เหมาะสมที่จะแสดงธรรมหรือบอกธรรมในพระราชสถานฝ่ายในเรื่องนั้นเหมาะแก่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายเท่านั้น พระเจ้าข้า.“  พระราชาทรงพระดำริว่า „อุบาสกนี้พูดจริง“ ทรงส่งท่านไป รับสั่งให้หาพระสนมมาเฝ้ามีพระดำรัสว่า „ดูก่อนนางผู้เจริญ เราจะไปสู่สำนักพระศาสดากราบทูลขอภิกษุรูปหนึ่ง เพื่อแสดงธรรมและบอกธรรมแก่พวกเธอในพระมหาสาวกทั้ง ๘๐ องค์ เราจักทูลขอองค์ไหนดี.“? 

พระสนมทั้งหมดปรึกษากัน กราบทูลถึงพระอานนทเถระผู้เป็นคลังพระธรรมองค์เดียว พระราชาก็เสด็จไปสู่สำนักพระศาสดาถวายบังคมแล้วประทับ ณ ส่วนข้างหนึ่ง พลางกราบทูลอย่างนี้ว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกหญิงในวังของหม่อมฉัน ปรารถนาจะฟังและเรียนธรรมในสำนักของพระอานนทเถระ จะพึงเป็นการดีหนอพระเจ้าข้า ถ้าพระเถระพึงแสดงธรรม พึงบอกธรรมในวังของหม่อมฉัน“ พระศาสดาทรงรับคำว่า „ดีแล้ว มหาบพิตร“ แล้วตรัสสั่งพระเถระเจ้า จำเดิมแต่นั้นพระสนมของพระราชาก็พากันฟังและเรียนธรรมในสำนักของพระเถระเจ้า.  ภายหลังวันหนึ่ง พระจุฬามณีของพระราชาหายไป.

พระราชาทรงทราบความที่พระจุฬามณีนั้นหายไปทรงบังคับพวกอำมาตย์ว่า „พวกเจ้าจงจับมนุษย์ผู้รับใช้ภายในทั้งหมด บังคับให้นำจุฬามณีคืนมาให้ได้“ พวกอำมาตย์สืบถามพระจุฬามณีตั้งต้นแต่มาตุคาม ก็ไม่ได้ความ, ทำให้มหาชนพากันลำบาก.   ในวันนั้น พระอานันทเถระเจ้าเข้าสู่พระราชวัง พวกพระสนม เหล่านั้นก่อน ๆพอเห็นพระเถระเจ้าเท่านั้น ก็พากันร่าเริงยินดีตั้งใจฟัง ตั้งใจเรียนธรรม หาได้กระทำอย่างนั้นไม่ ทุก ๆ คนได้พากันโทมนัสไปทั่วหน้า ครั้นพระเถระถามว่า „เหตุไรพวกเธอจึงพากันเป็นเช่นนี้ ในวันนี้“? ก็พากันกราบเรียนอย่างนี้ว่า „ข้าแต่ พระคุณเจ้าผู้เจริญ พวกอำมาตย์กล่าวว่า พวกเราจักค้นหาพระจุฬามณีของพระราชา พากันจับพวกมาตุคามไว้ ทำให้คนใช้สอยข้างในลำบากไปตาม ๆ กัน พวกดิฉันก็ไม่ทราบว่า ใครจักเป็นอย่างไร ? เหตุนั้น พวกดิฉันจึงพากันกลุ้มใจเจ้าค่ะ“ พระเถระกล่าวปลอบพวกนางว่า „อย่าคิดมากไปเลย" ดังนี้แล้ว ไปสู่สำนักพระราชา นั่งเหนืออาสนะที่จัดไว้ ถวายพระพรถามว่า „มหาบพิตรได้ทราบว่า แก้วมณีของมหาบพิตรหายไปหรือ ?“ พระราชารับสั่งว่า „ขอรับ พระคุณเจ้าผู้เจริญ.“ 

ถวายพระพรว่า „ก็มหาบพิตรไม่ทรงสามารถจะให้ใครนำพาคืนได้หรือ ขอถวายพระพร ? รับสั่งว่า „พระคุณเจ้าผู้เจริญข้าพเจ้าสั่งให้จับคนข้างในทุกคน ถึงจะทำให้ลำบาก ก็ยังไม่อาจให้นำมาได้ ขอรับ.“ ถวายพระพรว่า „มหาบพิตร อุบายที่จะไม่ต้องให้มหาชนลำบากแล้วให้เขานำมาคืน ยังพอมีอยู่ ขอถวายพระพร.“  รับสั่งว่า „เป็นอย่างไร พระคุณเจ้า ?“ ถวายพระพรว่า „บิณฑทานซิ มหาบพิตร.“ รับสั่งถามว่า "บิณฑทานเป็นอย่างไร ขอรับ ?“ ถวายพระพรว่า „มหาบพิตรมีความสงสัยคนมีประมาณเท่าใด ก็จับคนเหล่านั้นเท่านั้นแล้วให้ฟ่อนฟาง หรือก้อนดินไปคนละฟ่อน หรือคนละก้อน บอกว่า เวลาย่ำรุ่ง ให้นำฟ่อนฟางหรือก้อนดินนี้มาโยนทิ้งไว้ที่ตรงโน้น ผู้ใดเป็นคนเอาไป ผู้นั้น จักซุกจุฬามณีไว้ในฟ่อนฟางหรือก้อนดินนั้น นำมาโยนไว้ ถ้าพากันเอามาโยนให้ในวันแรกทีเดียว นั่นเป็นความดี ผิไม่นำมาโยนให้ ก็พึงกระทำอย่างนั้นแหละต่อไป แม้ในวันที่สองที่สามด้วยวิธีนี้มหาชนจักไม่ต้องพลอยลำบากด้วยจักต้องได้แก้วมณีด้วยขอถวายพระพร“ ครั้นถวายพระพรอย่างนี้แล้ว พระเถระเจ้าก็ถวายพระพรลาไป.

พระราชาได้รับสั่งให้พระราชทาน โดยนัยที่พระเถระเจ้าถวายพระพรไว้ตลอด ๓ วัน ไม่มีใครนำแก้วมณีมาคืนเลย ในวันที่ ๓ พระเถระเจ้าก็มาถวายพระพรถามว่า „มหาบพิตร ใครเอาแก้วมณีมาโยนให้แล้วหรือ ?“ รับสั่งว่า „ยังไม่มีใครนำมาโยนให้เลย ขอรับ.“ ถวายพระพรว่า „ถ้าเช่นนั้น มหาบพิตรจงโปรดรับสั่งให้ตั้งตุ่มใหญ่ไว้ในที่กำบังในท้องพระโรงใหญ่นั่นแหละ ให้ตักน้ำใส่ให้เต็ม ให้วงม่านแล้วรับสั่งว่า พวกมนุษย์ที่รับใช้ข้างในทุกคนและพวกสตรี จงห่มผ้าเข้าไปในม่านทีละคน ๆ จงล้างมือเสียแล้วออกมา.“  พระเถระเจ้าถวายพระพรบอกอุบายนี้แล้ว ก็ถวายพระพรลาหลีกไป.  พระราชารับสั่งให้กระทำอย่างนั้น. 

คนที่ขโมยแก้วมณีไปได้คิดว่า „พระเถระเจ้าผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริกมาคุมอธิกรณ์เรื่องนี้ ยังไม่ได้แก้วมณี จักระบุตัวได้ คราวนี้เราควรจะทิ้งแก้วนั้น“ แล้วถือเอาแก้วซ่อนไว้มิดชิด เข้าไปภายในม่าน ทิ้งไว้ในตุ่มแล้วรีบออก.  ในเวลาออกกันหมดทุกคนแล้ว พวกราชบุรุษเทน้ำทิ้งได้เห็นแก้วมณี พระราชาทรงดีพระทัยว่า เราอาศัยพระเถระเจ้า มิต้องให้มหาชนลำบากเลยได้แก้วมณีแล้ว ถึงพวกมนุษย์ที่เป็นพวกรับใช้ฝ่ายในก็พากันยินดีว่า พวกเราพากันอาศัยพระเถระเจ้า พากันพ้นจากทุกข์อันใหญ่หลวงอานุภาพของพระเถระเจ้าที่ว่า „พระราชาทรงได้พระจุฬามณีด้วยอานุภาพของพระเถระเจ้า" ลือชาปรากฏไปในพระนครทั้งสิ้นและในภิกษุสงฆ์.  พวกภิกษุนั่งประชุมกันในธรรมสภา พรรณนาคุณของพระเถระเจ้าว่า „ผู้มีอายุทั้งหลาย พระอานนทเถระไม่ต้องให้มหาชนลำบาก ใช้อุบายเท่านั้นแสดงแก้วมณีให้พระราชาได้เพราะท่านเป็นพหูสูต เป็นบัณฑิตและเป็นผู้ฉลาดในอุบาย“  

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร ?“ เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า „มิใช่อานนท์ผู้เดียวที่แสดงภัณฑะอันตกถึงมือผู้อื่นได้ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนบัณฑิตทั้งหลายมิต้องให้มหาชนลำบากเลย ใช้แต่อุบายเท่านั้น ก็แสดงภัณฑะอันตกถึงมือสัตว์ดิรัจฉานได้“ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนาทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- 

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี  พระโพธิสัตว์เรียนจบศิลปศาสตร์ทุกอย่างแล้วได้เป็นอำมาตย์ของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์นั้นแหละ อยู่มา วันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปสู่พระอุทยาน ด้วยบริวารเป็นอันมากเสด็จเที่ยวไปสู่ละแวกป่าแล้วทรงพระประสงค์จะทรงอุทกกีฬาเสด็จลงสู่สระโบกขรณีอันเป็นมงคล รับสั่งเรียกแม้นางใน. พวกสตรีต่างก็เปลื้องอาภรณ์ มีเครื่องประดับศีรษะและประดับคอ.เป็นต้น ใส่ในผ้าห่มวางไว้บนหลังหีบ มอบให้ทาสีทั้งหลายรับไว้แล้วพากันลงสู่โบกขรณี.  ครั้งนั้น นางลิงอยู่ในสวนตัวหนึ่ง นั่งเจ่าเหนือกิ่งไม้ เห็นพระเทวีทรงเปลื้องเครื่องประดับทรงใส่ไว้ในผ้าทรงสพักแล้วทรงวางไว้หลังพระสมุค นึกอยากจะแต่งสร้อยมุกดาหารของพระนาง นั่งจ้องดูความเผลอเลอของนางทาสีอยู่ฝ่ายนางทาสีผู้เฝ้า ก็มัวนั่งมองดูในที่นั้นอยู่เลยง่วงหลับไปนางลิงรู้ความที่นางทาสีประมาท โดดลงโดยรวดเร็วปานลมพัด สอดสวมสร้อยมุกดาหารใหญ่ที่คอแล้วโดดขึ้นรวดเร็วปานลมเหมือนกัน กลับนั่งเหนือกิ่งไม้ กลัวนางลิงตัวอื่น ๆ จะเห็น จึงซุกไว้ที่โพรงไม้แห่งหนึ่ง แสร้งทำเป็นเหมือนสงบเสงี่ยม นั่งเฝ้าเครื่องประดับนั้นไว้ 

ฝ่ายนางทาสีนั้นเล่า ตื่นขึ้นไม่เห็นมุกดาหารก็ตัวสั่น ครั้นไม่เห็นอุบายอื่น ก็ต้องตะโกนว่า คนแย่งมุกดาหารของพระเทวีหนีไปแล้ว พวกมนุษย์ที่เฝ้าแหน ประชุมกันตามตำแหน่งนั้น ๆครั้นได้ยินคำของนาง ก็กราบทูลแด่พระราชาพระราชารับสั่งว่า พวกท่านจงจับโจรให้ได้ พวกราชบุรุษทั้งหลายก็พากันออกจากพระราชอุทยานกล่าวว่า พวกท่านจงจับโจร จงจับโจร พากันค้นหาทางโน้น ทางนี้.   ขณะนั้น บุรุษผู้กระทำพลีกรรมชาวชนบทคนหนึ่งได้ยินเสียงนั้น ก็หวั่นหวาดวิ่งหนี พวกราชบุรุษเห็นเข้าก็กวดตามไปว่า คนนี้เป็นโจร จับเขาได้ โบยพลางตวาดพลาง เฮ้ย ไอ้โจรชั่วมึงกล้าลักเครื่องประดับชื่อมหาสารอย่างนี้เทียวนะ เขาคิดว่า ถ้าเราจักบอกว่า ฉันไม่ได้เอาไป วันนี้คงไม่รอดชีวิต พวกราชบุรุษคงโบยเราเรื่อยไปจนถึงตาย จำเราต้องรับ เขาจึงบอกว่า นายขอรับ กระผมนำไปเอง 

ทีนั้นพวกราชบุรุษก็พากันมัดเขานำมาสู่สำนักพระราชา ฝ่ายพระราชาตรัสถามว่า เครื่องประดับมีค่ามาก เจ้าลักไปหรือ ? กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพเป็นความจริงพระเจ้าข้า รับสั่งถามว่า บัดนี้เอาไปไว้ที่ไหน ? บุรุษนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่มีค่ามาก แม้เตียงตั่งข้าพระองค์ก็ไม่เคยเห็น แต่ท่านเศรษฐีบอกให้ข้าพระองค์ลักเครื่องประดับมีค่ามากนั้น ข้าพระองค์จึงลักเอาไปแล้วมอบให้ท่านไปท่านเศรษฐีนั่นแหละถึงจะรู้.   พระราชารับสั่งให้หาท่านเศรษฐีมาเฝ้า รับสั่งถามว่า เครื่องประดับมีค่ามากท่านรับเอาจากมือคนนี้ไว้หรือ ? เศรษฐีกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ รับสั่งถามว่า ท่านเอาไว้ที่ไหนเล่า ? กราบทูลว่า ให้ท่านปุโรหิตไปแล้วพระเจ้าข้ารับสั่งให้เรียกปุโรหิตแม้นั้นมาเฝ้า รับสั่งเช่นนั้นแหละ ถึงท่านปุโรหิตเองก็รับแล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์ให้แก่คนธรรพ์ไปแล้ว.   รับสั่งให้เรียกคนธรรพ์มาเฝ้า รับสั่งถามว่า เจ้ารับเอา เครื่องประดับมีค่ามากไปจากมือปุโรหิต หรือ ? กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ รับสั่งถามว่า เอาไว้ที่ไหน ? กราบทูลว่า ข้าพระองค์ให้แก่นางวัณณทาสีไปแล้วด้วยอำนาจแห่งกิเลส 

รับสั่งให้เรียกนางวัณณทาสีมาตรัสถามนางกราบทูลว่า กระหม่อมฉันมิได้รับไว้ เมื่อสอบถามคนทั้ง ๕ กว่า จะทั่ว ดวงอาทิตย์ก็อัษฎงค์ พระราชารับสั่งว่า บัดนี้มืดค่ำเสียแล้ว เราจักต้องรู้เรื่องในวันพรุ่งนี้ มอบคนทั้ง ๕ เหล่านั้นแก่พวกอำมาตย์แล้วเสด็จเข้าสู่พระนคร.   พระโพธิสัตว์ดำริว่า เครื่องประดับนี้หายในวงภายในส่วนคฤหบดีนี้เป็นคนภายนอก การเฝ้าประตูเล่าก็เข้มแข็ง เหตุนั้น แม้จะเป็นคนอยู่ข้างในลักเครื่องประดับนั้น ก็ไม่อาจหนีรอด เมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่ทางที่คนข้างนอกจะลักก็ดี ที่คนรับใช้ในสวนจักลักก็ดี ไม่มีวี่แววเลย คำที่ทุคคตมนุษย์นี้กล่าวว่า ข้าพระองค์ให้เศรษฐีไปแล้ว ต้องเป็นคำกล่าวเพื่อเปลื้องตน 

ถึงที่เศรษฐีกล่าวว่า ให้แก่ปุโรหิตเล่า จักเป็นอันกล่าวเพราะคิดว่า พวกเราต้องร่วมกันสะสาง แม้ที่ท่านปุโรหิตกล่าวว่า ให้คนธรรพ์ไปแล้วก็คงเป็นอันกล่าวเพราะคิดว่า พวกเราต้องอาศัยคนธรรพ์ จักพากันอยู่สบายในเรือนจำ ที่คนธรรพ์พูดว่า ให้นางวัณณทาสีไปแล้วก็จักเป็นอันกล่าวเพราะคิดว่า พวกเราจักไม่ต้องนึกกระสันอยู่แม้ทั้ง ๕ คนเหล่านี้คงไม่ใช่โจรทั้งนั้น 

ในอุทยานมีลิงเป็นอันมากอันเครื่องประดับคงตกอยู่ในมือนางลิงตัวหนึ่งเป็นแน่ พระโพธิสัตว์จึงเข้าเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร ขอได้โปรดทรงพระกรุณามอบโจรเหล่านั้นแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะชำระเรื่องนั้นเอง พระเจ้าข้า.  พระราชารับสั่งว่า ดีแล้วพ่อบัณฑิตเธอจงชำระเถิดแล้วทรงมอบคนเหล่านั้นแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ให้เรียกคนใช้ผู้ชายของตนมา ให้คนทั้ง ๕ ไปอยู่ในที่ แห่งเดียวกันทั้งหมด กระทำการควบคุมโดยสงบ สั่งให้แอบฟังว่า พวกนั้นพูดคำใดกันบ้าง เจ้าทั้งหลายจงบอกคำนั้นแก่เราแล้วหลีกไป พวกคนเหล่านั้นก็ได้กระทำอย่างนั้นแล้ว. 

ครั้นถึงเวลาที่พวกมนุษย์สนทนากันท่านเศรษฐีกล่าวกะคฤหบดีนั้นว่า เฮ้ย ! ไอ้คฤหบดีชั่ว มึงเคยพบกูหรือกูเคยพบมึงในครั้งไหน มึงให้เครื่องประดับกูเมื่อไร ? คฤหบดีกล่าวว่า ข้าแต่ท่านมหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้านาย ผมไม่รู้จักสิ่งที่ชื่อว่ามหาสารจะเป็นเตียงตั่งที่มีเท้าทำด้วยแก่นไม้ ก็ไม่รู้จักที่ได้พูดอย่างนั้นเพราะคิดว่า จักอาศัยท่านได้ความรอดพ้น โปรดอย่าโกรธผมเลยขอรับ.   แม้ปุโรหิตก็พูดกับท่านเศรษฐีว่า ท่านให้เครื่องประดับที่คฤหบดีนี้มิได้ให้แก่ท่านเลยแก่เราได้อย่างไรกัน ? ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ข้าพเจ้ากล่าวไป เพราะคิดว่า เราทั้งสองเป็นคนใหญ่คนโต ในเวลาที่เราไปร่วมพูดจากัน การงานจักสำเร็จไปโดยเร็ว.   ฝ่ายคนธรรพ์ก็กล่าวกะปุโรหิตว่า ดูก่อนพราหมณ์ท่านให้เครื่องประดับแก่ผม เมื่อไรกัน ? โรหิตกล่าวว่า ข้าพเจ้ากล่าวไป เพราะคิดว่า จักได้อาศัยท่านอยู่เป็นสุขในที่ที่ถูกคุมขัง 

แม้นางวัณณทาสีก็กล่าวกะคนธรรพ์ว่า ไอ้คนร้าย คนธรรพ์ชาติชั่วเราเคยไปหาเจ้า หรือเจ้าเคยมาหาเราแต่ครั้งไร เจ้าให้เครื่องประดับแก่เราในเวลาไร ? คนธรรพ์กล่าวว่า น้องเอ๋ย เพราะเหตุไรจะต้องมาโกรธเคืองข้าพเจ้าด้วยเล่า เมื่อพวกเราทั้ง ๕ คนอยู่ร่วมกัน เรื่องเพศสัมพันธ์จักต้องมีอาศัยเจ้า พวกเราจักไม่ต้องหงอยเหงา อยู่ร่วมกันอย่างสบาย ดังนี้.   พระโพธิสัตว์ฟังถ้อยคำนั้น จากสำนักของคนที่จัดไว้ทราบความที่พวกนั้นไม่ใช่โจรโดยแน่นอน คิดว่า เครื่องประดับต้องเป็นนางลิงหยิบเอาไป จักทำอุบายให้มันโยนลงมาจงได้แล้วทำเครื่องประดับสำเร็จด้วยยางไม้ ให้จับเหล่านางลิงในอุทยานแล้วให้แต่งเครื่องประดับยางไม้ ที่มือที่เท้าและที่คอแล้วปล่อยไป 

ฝ่ายนางลิงตัวที่เฝ้าเครื่องทรงอยู่ ก็นั่งอยู่ในอุทยานนั่นเองพระโพธิสัตว์สั่งคนทั้งหลายว่า พวกเธอพากันไปเถิด พากันตรวจดูฝูงนางลิงในอุทยานทุกตัว เห็นเครื่องทรงนั้นอยู่ที่ตัวใดจงทำให้มันตกใจแล้วเอาเครื่องประดับมาให้จงได้ ฝูงนางลิงนั้นเล่า ก็พากันร่าเริงยินดีว่า พวกเราได้เครื่องแต่งตัวกันแล้วต่างก็วิ่งเที่ยวไปมาในอุทยาน ถึงสำนักของนางลิงนั้น พากันกล่าวว่า จงดูเครื่องประดับของพวกเรา นางลิงทนไม่ไหว คิดว่า เรื่องอะไรด้วยเครื่องประดับทำด้วยยางไม้ นี้แล้วแต่งเครื่องมุกดาหารมาอวด ครั้งนั้น คนเหล่านั้นเห็นมันแล้ว ทำให้มันทิ้งเครื่องทรงแล้วนำมามอบให้พระโพธิสัตว์.

พระโพธิสัตว์นำเครื่องทรงนั้นไปถวายพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพนี้เครื่องทรงของพระองค์ คนแม้ทั้ง ๕ นั้นมิใช่โจรแต่เครื่องทรงนี้ได้มาจากนางลิงในอุทยาน พระเจ้าข้า.  พระราชาตรัสถามว่า พ่อบัณฑิต ก็พ่อรู้ความที่เครื่องทรงนี้ตกอยู่ในมือนางลิงได้อย่างไร เอาคืนมาได้อย่างไร ? พระโพธิสัตว์กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ.  พระราชาทรงดีพระทัย ตรัสว่า ธรรมดาคนกล้าเป็นต้น เป็นบุคคลที่นำปรารถนา ในฐานะตำแหน่ง จอมทัพเป็นต้น ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงชมเชยพระโพธิสัตว์ ตรัสพระคาถานี้ว่า :-  „ยามคับขัน ย่อมปรารถนาผู้กล้าหาญ, ยามปรึกษาการงาน ย่อมปรารถนาคนไม่พูดพล่าม, ยามมีข้าวน้ำ ย่อมปรารถนาคนเป็นที่รักของตน, ยามต้องการเหตุผลย่อมปรารถนาบัณฑิต.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุกฺกฏฺเฐ ความว่า ในยามคับขัน คือคราวที่ทั้งสองฝ่ายเข้าประชิดกัน อธิบายว่า เมื่อการรุกรบในสงครามกำลังดำเนินไป.   บทว่า สูรมิจฺฉนฺติ ความว่า ย่อมปรารถนาผู้ที่กล้าหาญอันมีปกติไม่รู้จักถอย แม้เมื่อสายฟ้าจะฟาดลงมาบนกระหม่อมเพราะว่า ในขณะนั้น คนอย่างนี้ควรได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นจอมทัพ. 

บทว่า มนฺตีสุ อกุตูหลํ ความว่า เมื่อเวลามีกิจการที่จะต้องปรึกษา ถึงกิจที่ควรทำและไม่ควรทำ ในเวลาปรึกษากิจการ ย่อมปรารถนาคนที่ไม่พูดพร่ำ ไม่พูดเลื่อนเปื้อน คือไม่แพร่งพรายข้อที่ปรึกษากัน เพราะคนลักษณะเช่นนั้น เหมาะที่จะแต่งตั้งในตำแหน่งนั้น ๆ.  บทว่า ปิยญฺจ อนฺนปานมฺหิ ความว่า เมื่อข้าวน้ำมีรสอร่อยปรากฏขึ้น ย่อมปรารถนาคนอันเป็นที่รัก เพื่อชักชวนให้บริโภคร่วมกัน เพราะคนเช่นนั้น จำปรารถนาในเวลานั้น.  บทว่า อตฺเถ ชาเต จ ปณฺฑิตํ ความว่า เมื่ออรรถอันลึกซึ้งธรรมอันลึกซึ้งเกิดขึ้น หรือเมื่อเหตุหรือปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ย่อมปรารถนาบัณฑิตผู้มีปัญหาประจักษ์ เพราะท่านผู้มีลักษณะเช่นนั้น ชอบที่จะปรารถนาในสมัยนั้น.

พระราชาตรัสพรรณนาชมเชยพระโพธิสัตว์ ด้วยประการฉะนี้ทรงบูชาด้วยรัตนะ ๗ ประการ ปานประหนึ่งมหาเมฆยังฝนลูกเห็บให้ตกฉะนั้น ดำรงค์พระองค์ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น เสด็จไปตามยถากรรมแม้พระโพธิสัตว์ก็ไปตามยถากรรม. 

พระบรมศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสคุณของพระเถระเจ้าทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: