วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ปณฺณิกชาตกํ - ว่าด้วยที่พึงให้โทษ

ปณฺณิกชาตกํ - ว่าด้วยที่พึงให้โทษ

"โย   ทุกฺขผุฏฺฐาย   ภเวยฺย   ตาณํ,

โส   เม   ปิตา  ทุพฺภิ   วเน   กโรติ;

สา   กสฺส   กนฺทามิ   วนสฺส   มชฺเฌ,

โย   ตายิตา   โส   สหสํ   กโรตีติ  ฯ

ผู้ใดเมื่อดิฉันได้รับทุกข์พึงเป็นที่พึ่งได้ ผู้นั้นคือบิดาของดิฉันกลับมาทำความประทุษร้ายแก่ดิฉันในป่า ดิฉันจะคร่ำครวญถึงใครในกลางป่า ผู้ใดควรจะเป็นที่พึ่งของดิฉัน ผู้นั้นกลับมาทำกรรมอย่างสาหัส."

ปัณณิกชาดกอรรถกถา (พ่อค้าผักรักลูกสาว)

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภอุบาสกพ่อค้าผักผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  โย  ทุกฺขผุฏฺฐาย  ภเวยฺย  ตาณํ  ดังนี้.

ได้ยินว่า อุบาสกชาวเมืองสาวัตถีนั้น ขายผักต่าง ๆ  มีฝักข้าวเป็นต้นและผักผลมีน้ำเต้าและผักเป็นต้นเลี้ยงชีวิต เขามีธิดาคนหนึ่ง รูปร่างงดงาม แจ่มใส สมบูรณ์ด้วยมารยาทและความประพฤติ ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ เสียอย่างเดียวที่ชอบหัวเราะหน้ารื่นอยู่เสมอ.     เมื่อสกุลที่คู่ควรพากันมาสู่ขอนางเขาคิดว่า „การสู่ขอรายนี้กำลังดำเนินไป ส่วนลูกสาวเราคนนี้หัวเราะหน้ารื่นอยู่เป็นประจำ ก็เมื่อนางกุมารียังไม่มีสมบัติ ลูกผู้หญิง ไปสู่ตระกูลผัว ย่อมเป็นที่ครหาถึงมารดาบิดาได้, เราต้องทดลองลูกเราดูว่า มีกุมาริกาธรรมหรือยังไม่มี“.      วันหนึ่งเขาให้ธิดาถือกระเช้า ไปป่าเพื่อเก็บผักในป่าแล้วทำเป็นถูกกิเลสรัดรึงด้วยมุ่งจะทดลอง พลางกล่าวถ้อยคำเล้าโลมแล้วจับมือนางไว้ พอนางถูกจับมือเท่านั้น ก็ร้องไห้คร่ำครวญกล่าวว่า „พ่อจ๋าเรื่องนี้ไม่มีควรเลย เป็นเช่นกับความปรากฏขึ้นแห่งไฟจากน้ำ พ่ออย่าทำอย่างนี้เลย“

เขากล่าวว่า „ลูกรัก พ่อจับมือเจ้าเพื่อจะลองดู, จงบอกพ่อซิลูกว่า เดี๋ยวนี้เจ้ามีกุมาริกาธรรมแล้ว“    นางตอบว่า „มีจ้ะพ่อ เพราะฉันไม่เคยมองผู้ชายคนไหน ด้วยคิดอยากจะได้เลย" เขาปลอบธิดาแล้วทำการมงคล ส่งตัวไปสู่ตระกูลผัว.    แล้วคิดว่า „เราจักถวายบังคมพระศาสดา“ ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปพระเชตวันมหาวิหาร ถวายบังคมพระศาสดาบูชาแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง เมื่อมีพระพุทธดำรัสว่า „นานอยู่นะที่ท่านมา“ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระศาสดาตรัสว่า „อุบาสก กุมาริกาถึงพร้อมด้วยมารยาทและศีลมานานแล้วเทียว, อนึ่งท่านมิใช่เพิ่งจะทดลองนางอย่างนี้ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนก็เคยทดลองมาแล้วเหมือนกัน“ เขากราบทูลอาราธนาทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-    ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี   พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดาในป่า.     เรื่องราวมีว่า ครั้งนั้น ในพระนครพาราณสี มีพ่อค้า ผักคนหนึ่ง ดังนี้ต่อนี้ไป เช่นเดียวกันกับเรื่องปัจจุบันนั่นแหละ ผิดกันแต่ตอนที่นางพอถูกเขาจับมือ เพื่อลองใจ ก็ร่ำไห้กล่าวคาถานี้ว่า :-

„ยามเมื่อฉันมีทุกข์ท่านผู้ใดเล่าเป็นที่พึ่ง, ท่านผู้นั้นคือบิดาของฉัน กำลังประทุษร้ายฉันในป่า, ฉันจะร่ำร้องหาใครในกลางป่า, ท่านผู้จะช่วยได้ กลับทำกรรมอันสาหัสเสียเอง.“ 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  โย  ทุกฺขผุฏฺฐาย  ภเวยฺย  ตาณํ  ความว่า ในยามเมื่อทุกข์ทางกาย ทุกข์ทางใจมาพ้องพานท่านผู้ใดพึงเป็นผู้ต้านทาน คือเป็นที่พำนัก.    บทว่า  โส  เม  ปิตา  ทุพฺภิ  วเน  กโรติ  ความว่า ท่านผู้นั้นคือบิดาของฉัน คอยช่วยป้องกันต้านทุกข์ให้ กำลังกระทำกรรมอันตัดเยื่อใยไมตรี อันน่าบัดสีเช่นนี้ในป่านี้เสียเอง คือกำลังคิด เพื่อจะกระทำการล่วงเกินธิดาที่ตนให้กำเนิดเกิดมา.    ด้วยบทว่า  กสฺส  กนฺทามิ  นี้ นางแสดงความว่า ฉันจะร้องไห้หาใคร คือใครจักมาเป็นที่พึ่งให้ฉัน.   บทว่า  โย  ตายิตา  โส  สหสา  กโรติ  ความว่า ท่านผู้ใดเล่าที่จะปกป้องคุ้มครองฉัน ควรจะเป็นที่พึ่งพำนักได้ท่านผู้นั้นคือบิดาคนเดียว กำลังการทำกรรมอันน่าบัดสี.

ครั้งนั้น ผู้เป็นบิดาจึงปลอบนางแล้วถามว่า „แม่คุณ เจ้ารักษาตนได้แล้วหรือ ?  “ นางตอบว่า „จ้ะพ่อ ฉันรักษาตนเองได้“ เขาก็พานางมาเรือน ประดับตกแต่ง ทำการมงคลแล้วส่งไปสู่สกุลผัว.    พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประกาศสัจจะเวลาจบสัจจะอุบาสกดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้วทรงประชุมชาดกว่า บิดาในครั้งนั้นได้มาเป็นบิดาในครั้งนี้ ธิดาก็คงมาเป็นธิดา ส่วนรุกขเทวดาผู้เห็นเหตุการณ์นั้นโดยประจักษ์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล. 

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: