วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2564

"การเทศน์ออนไลน์กับความไม่เข้าใจระหว่างคนต่างเจนเนอเรชั่น"

การเทศน์ออนไลน์กับความไม่เข้าใจระหว่างคนต่างเจนเนอเรชั่น

"หลวงพี่...เคยอยู่วัดสร้อยทอง รู้จักพระมหาไพรวัลย์ไหม?" เสียงโทรจากแดนไกลของอดีตครูอาสาท่านหนึ่ง ซึ่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่ค่อยได้ยินครูคนนี้พูดเรื่องวัดเรื่องศาสนาสักเท่าไหร่? 

"ก็พอรู้จักอยู่...ครูมีอะไรหรือเปล่า?" 

"ถ้าหลวงพี่กลับไทย ช่วยพาหนูไปกราบท่านทีนะ อยากไปทำบุญไปถวายสังฆทานกับท่านค่ะ"

"ครูกินยาผิดซองหรือเปล่า?"  อันนี้คิดในใจแต่ไม่กล้าถามเดี๋ยวเสียทรง

"คือหนูดูไลฟ์ของพระมหาไพรวัลย์ สนุกมาก หลวงพี่ได้ดูหรือเปล่า?" 

"เอ่อ....ก็ติดตามงานเขียนท่านอยู่ แต่ไลฟ์ไม่เคยดู ไหนครูส่งลิงค์ให้หน่อย"

บอกตรงๆ ว่าเป็นครั้งแรกที่ดูไลฟ์ของท่าน ซึ่งเป็นไลฟ์เดี่ยวพูดคุยกับชาวเน็ต (เป็นช่วงเวลาก่อนที่ท่านไลฟ์คู่กับท่านพระมหาสมปอง)

หลังจากดูท่านพูดภาษาเทพกับคนรุ่นใหม่ได้ประมาณ 10 กว่านาที ก็ต้องสารภาพว่าดูต่อไม่ไหว เพราะดูไม่เข้าใจว่ามันฮาและมีสาระตรงไหน?

เพราะเต็มไปด้วยภาษาเทพ และศัพท์เฉพาะกลุ่มที่ไม่เคยจะได้ยิน และไม่รู้ความหมายว่าสื่อถึงอะไร?

กลับกัน....คนรุ่นใหม่ และกลุ่ม LGBT (กลุ่มเพศสภาพ, ผู้ที่แสดงออกทางเพศแตกต่างจากแบบที่เราเคยรู้จัก) กลับรู้สึกอินและชื่นชมพระมหาไพรวัลย์เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

ถึงบรรทัดนี้ เข้าใจเลยว่าตัวเองตกยุคและก้าวไม่ทันความร่วมสมัยกับคนยุคนี้ไปเสียแล้ว

และยิ่งไลฟ์สดที่เรียกกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ระหว่างพระมหาไพรวัลย์กับพระมหาสมปอง ที่กระชากเรตติ้งการไลฟ์สดด้วยจำนวนดูมากกว่าไลฟ์สดของดารานักร้อง และเพจดังเพจขายของมาร่วมแจมโดยมิได้นัดหมายก็ยิ่งกลายเป็นประเด็นร้อนแรงให้พูดถึงอย่างต่อเนื่องหลายวันติดกันเลยทีเดียว

เพราะเป็นไลฟ์สดของพระสงฆ์ที่คนเข้ามาดูไม่ได้จับท่านอยู่บนหิ้ง มีการแซวขำขัน หยอกล้อหัวเราะกันไปจนดูแล้วอาจเกินอาจาระของความเป็นพระสงฆ์ที่ต้องอยู่ในอาการสำรวม หรือให้พอประมาณไม่เกินขอบเขตของคำว่า "พระ"

จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมหลายๆ คน หรือแม้กระทั่งวงการคณะสงฆ์ด้วยกันถึงออกมาด่า มาต่อต้าน และไม่เห็นด้วยกับการเก็บทรงไม่อยู่ของท่านทั้งสองรูปนี้

ในขณะเดียวกัน กลับมีกระแสตอบรับอย่างท้วมท้นจากคนรุ่นใหม่ และคนทั่วไปที่มองว่าเป็นเรื่องดีที่มีพระสงฆ์หัวก้าวหน้าปรับตัวทันยุคทันสมัย และโดยเฉพาะกลุ่มคนที่คนในวงการพระพุทธศาสนามองข้ามมาโดยตลอด คือกลุ่ม LGBT ที่เมื่อเข้ามาวัดแล้วมักไม่ค่อยมีตัวตน หนำซ้ำยังถูกกีดกันในเรื่องการบวชว่าไม่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่จะเข้ามาบวชได้ 

การไลฟ์สดครั้งนี้ กลายเป็นศึกวิวาทะร้อนระอุระหว่างคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มีการร้องเรียนอย่างเป็นทางการ ถึงขั้นไล่ให้ท่านทั้งสองรูปลาสิกขาไปเป็นตลกคาเฟ่

"เป็นตลกอย่ามาเป็นพระ เป็นพระอย่ามาเป็นตลก"

ทัศนะที่แตกต่างกันอย่างนี้ นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่งว่าจะมีทางออกอย่างไร?

ฝ่ายหนึ่งอยากให้พระสงฆ์อยู่ในภาวะที่เหมาะสม ไม่อยากให้เล่นจนเกินงาม ในขณะที่อีกฝ่ายอยากให้พระเป็นคนที่เข้าถึงง่าย พูดคุยหยอกล้อกันได้ ไม่ต้องมีพิธีรีตองให้มาก

และเท่าที่ลองอ่านคอมเม้นท์ในไลฟ์สด ก็มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ส่วนใหญ่บอกว่าชอบ มีหลายคนที่บอกว่าตนเองเป็นคริสต์เป็นมุสลิมแต่ชอบพระมหาทั้งสองรูป มีวัยรุ่นหลายคนบอกว่าไม่เคยสนใจฟังเทศน์ แต่พอมาดูแล้วก็เริ่มมีศรัทธาอยากเข้าวัด อยากทำบุญ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าศึกษาอย่างยิ่งว่าคนรุ่นใหม่เหล่านี้เริ่มเปิดใจในเรื่องศาสนา 

การมองคนรุ่นเด็กที่ดูไลฟ์สดของพระเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาแต่อย่างเดียวอาจไม่เป็นธรรมนัก และจะมีหนทางอย่างไรที่จะต่อยอดจากการที่เขาเหล่านั้น มีความสนใจในศาสนาเป็นเบื้องต้นไปสู่การเรียนรู้และเข้าถึงแก่นแท้ของพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคนได้ในอนาคต

โดยส่วนตัวแล้ว มองความเห็นต่างเป็นเรื่องธรรมดา บางทีการประสานความเข้าใจระหว่างกัน เพื่อให้คนที่เข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างดีแล้ว ได้ประคับประคองให้คนที่เพิ่งก้าวย่างแรกสู่เรียนรู้พระพุทธศาสนาเบื้องต้น สู่ก้าวที่สองที่สามตามลำดับย่อมเป็นการดีกว่าการให้เขาเหล่านั้นหันหลังให้ศาสนา

ต้นไม้เจริญเติบโตได้นั้น ต้องอาศัยรากอาศัยใบ อาศัยเปลือกกระพี้และแก่น  หากมีเพียงแก่นอย่างเดียวต้นไม้ต้นนั้นก็มิอาจคงอยู่ได้ พระพุทธศาสนาของเราก็เช่นเดียวกัน มีทั้งเปลือกกระพี้และแก่น

คนรุ่นใหม่เขาอยู่โหมดเปลือก กระพี้ของพระศาสนา คือเริ่มชื่นชอบ เริ่มสนใจศรัทธาที่ตัวบุคคล(พระสงฆ์) ทำยังไงที่จะให้เขาเหล่านั้น ได้ก้าวข้ามเพื่อให้ถึงแก่นแท้ของหลักธรรมคำสั่งสอนได้

สิ่งนี้แหละคือเป้าหมายของการเข้าถึงศาสนาอย่างแท้จริง.

ภาพ : พระมหาสมปอง และ พระมหาไพรวัลย์

Credit: Wanlop Boonlom










Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: