วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

สุราปานชาตกํ - โทษของการดื่มสุรา

สุราปานชาตกํ - โทษของการดื่มสุรา 

"อปายิมฺห อนจฺจิมฺห, อคายิมฺห รุทิมฺห จ;  วิสญฺญิกรณึ ปิตฺวา, ทิฏฺฐา นาหุมฺห วานราติฯ  พวกผมได้ดื่มสุราแล้ว พากันฟ้อนรำขับร้อง และร้องไห้ พวกผมดื่มสุรา  อันกระทำให้เสียสติแล้ว ท่านอาจารย์ไม่ได้เห็น กลายเป็นเหมือนวานรไป."

สุราปานชาดกอรรถกถา

พระศาสดาทรงอาศัยพระนครโกสัมพี ประทับอยู่ณ โฆสิตารามทรงปรารภพระสาคตเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อปายิมฺห อนจฺจิมฺห ดังนี้. 

ความพิสดารว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจำพรรษาณ กรุงสาวัตถีแล้วได้เสด็จจาริกไป จนลุถึงนิคม ชื่อภัททวติกาพวกคนเลี้ยงโค เลี้ยงสัตว์ ชาวนาและพวกเดินทาง เห็นพระศาสดาเสด็จมาแล้ว พากันถวายบังคม พลางกราบทูลห้ามว่า „ข้าแต่พระองค์เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่าได้เสด็จไปสู่ท่าอัมพะเลย พระเจ้าข้า, นาคชื่ออัมพติฏฐกะ ที่อาศรมของชฎิล ณ ท่าอัมพะ มีพิษร้าย จะเบียดเบียนพระองค์ได้.“  พระผู้มีพระภาคเจ้า ทำเป็นเหมือนไม่ทรงได้ยินถ้อยคำของคนเหล่านั้นถึงเมื่อพวกนั้น กราบทูลห้ามอยู่ถึง ๓ ครั้ง ก็คงเสด็จไปจนได้. 

เล่ากันว่า ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับ ณ ไพรสณฑ์ตำบลหนึ่ง ไม่ห่างนิคมภัททวติกา ครั้งนั้น พระสาคตเถระเป็นพุทธอุปัฏฐาก ประกอบด้วยฤทธิ์อันเป็นของปุถุชน เข้าไปใกล้อาศรมนั้น ปูเครื่องลาดที่ทำด้วยหญ้า ณ ที่อยู่ของพญานาคนั้นแล้วนั่งขัดสมาธิ นาคทนดูความลบหลู่มิได้ ก็บังหวลควัน. พระเถระก็บังหวลควันบ้าง. นาคทำให้ไฟลุก.

พระเถระก็ทำให้ไฟลุกบ้าง เดชของนาคข่มพระเถระไม่ได้ เดชของพระเถระข่มนาคได้ท่านกำหราบพระยานาคนั้นพักเดียว ก็ให้ดำรงในสรณะ ในศีลได้แล้วได้ไปสู่สำนักของพระศาสดาด้วยประการฉะนี้. ฝ่ายพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ นิคม ภัททวติกา ตามพระพุทธอัธยาศัยแล้วได้เสด็จไปสู่พระนครโกสัมพี เรื่องราวที่พระสาคตเถระกำหราบนาค แผ่ไปทั่วชนบท.  ฝูงชนชาวพระนครโกสัมพี กระทำการต้อนรับพระศาสดาพากันถวายบังคมพระองค์แล้ว ก็เลยไปสำนักพระสาคตเถระไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง พากันกล่าวอย่างนี้ว่า „ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ สิ่งใดที่พระคุณเจ้าได้ด้วยยาก นิมนต์บอกสิ่งนั้น พวกกระผมจะจัดถวายสิ่งนั้นจงได้.“

พระเถระก็นิ่งเสียแต่ภิกษุฉัพพัคคีย์ พากันพูดว่า „ผู้มีอายุทั้งหลาย สุราสีแดงดังสี เท้านกพิราบ พวกบรรพชิตหาได้ยากนักและก็เป็นของชอบใจด้วย, ถ้าพวกท่านเลื่อมใสพระเถระ ละก็จัดสุราสีแดงดังสีเท้านกพิราบมาถวายเถิด."  พวกนั้นก็รับคำว่า „ดีละ เจ้าข้า“ พากันกราบทูลพระศาสดาเพื่อทรงฉันในวันพรุ่งแล้ว พากันเข้าสู่พระนคร ต่างคนต่างจัดเตรียมสุราใส ที่มีสีแดงดังสีเท้านกพิราบไว้ที่เรือนของตน ๆ ด้วยหวังว่า จักถวายแด่พระเถระ นิมนต์พระเถระไปแล้ว พากันถวายสุราใสทุก ๆ เรือน,  พระเถระดื่มแล้ว เมาสุราเดินออกจากพระนคร ล้มลงที่ระหว่างประตูนอนบ่นพร่ำไป พระศาสดาทรงกระทำภัตรกิจแล้ว เมื่อเสด็จออกจากพระนคร ทอดพระเนตรเห็นพระเถระนอนด้วยท่าทางนั้น มีพระพุทธดำรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงช่วยประคองพระสาคตะไป“ ให้พวกภิกษุประคองไปสู่พระอาราม พวกภิกษุ วางศีรษะของพระเถระ ณ บาทมูลของพระตถาคตแล้วให้ท่านนอน. ท่านพระสาคตะกลับนอนเหยียดเท้าไปเฉพาะพระพักตร์พระตถาคต. 

พระศาสดาตรัสสอบถามพวกภิกษุว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเคารพในเราตถาคต ที่สาคตะเคยมีในก่อนนั้นบัดนี้ยังมีอยู่หรือไร ?“ พวกภิกษุพากันกราบทูลว่า „ไม่มีพระเจ้าข้า“  ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรเล่ากำหราบพญานาคชื่ออัมพติฏฐกะ“ พวกภิกษุกราบทูลว่า „พระสาคตเถระพระเจ้าข้า“  ตรัสถามว่า „ก็บัดนี้ สาคตะยังจะอาจเพื่อกำหราบงูปลาได้หรือ ?“ กราบทูลว่า „เรื่องนั้นไม่ได้แน่นอน พระเจ้าข้า."  ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดื่มสิ่งใดแล้ว ปราศจากความจำได้หมายรู้อย่างนี้ สิ่งนั้นควรที่ภิกษุจะดื่มถึงเพียงนี้หรือไม่เล่า ?“ กราบทูลว่า „ไม่ควรเลยพระเจ้าข้า.“  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตำหนิพระเถระแล้วทรงเรียกพวกภิกษุมาทรงบัญญัติสิกขาบทว่า „เป็นปาจิตตีย์ในเพราะดื่มสุราเมรัย“ แล้วเสด็จจากอาสน์เข้าพระคันธกุฎี.  ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา พูดถึงโทษของการดื่มสุราว่า „ผู้มีอายุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการดื่มสุรามีโทษใหญ่หลวงถึงกับกระทำให้พระสาคตะผู้ได้นามว่าสมบูรณ์ด้วยปัญญา มีฤทธิ์ไม่รู้แม้แต่คุณของพระศาสดาจึงได้กระทำอย่างนั้น.“

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่า ?“ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกบรรพชิตดื่มสุราแล้ว พากันสลบไสล มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนก็ได้เป็นแล้วเหมือนกัน“ ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี #พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ในแคว้นกาสี เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤาษีได้อภิญญาและสมาบัติ ประลองฌาน พำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ แวดล้อมด้วยอันเตวาสิกประมาณ ๕๐๐ ครั้นถึงฤดูฝน พวกอันเตวาสิก พากันเรียนท่านว่า ท่านอาจารย์ขอรับ พวกเราพากันไปแดนมนุษย์ บริโภคของเปรี้ยว ๆเค็ม ๆแล้วค่อยมากันเถิด. ฤๅษีพระโพธิสัตว์กล่าวว่า อาวุโส เราจะคอยอยู่ในที่นี้แหละ พวกเธอพากันไป บำรุงร่างกายจนฤดูฝนผ่านไปแล้วจึงพากันกลับมาเถิด. 

อันเตวาสิกเหล่านั้นรับคำว่า „ดีแล้วขอรับ" พากันกราบลาอาจารย์ไปสู่พระนครพาราณสี พักอยู่ในพระราชอุทยาน ครั้นวันรุ่งขึ้นก็พากันไปเที่ยวภิกษาจารในบ้านภายนอกประตูพระนครได้รับความเกื้อกูลอย่างดี รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง จึงพากันเข้าไปสู่พระนคร 

พวกมนุษย์พากันชื่นชมถวายภิกษา ล่วงมา ๒-๓ วัน ก็พากันกราบทูลพระราชาว่า „ขอเดชะ ฤาษี ๕๐๐ รูป พากันมาจากป่าหิมพานต์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน มีตบะกล้า มีอินทรีย์อันชนะแล้วอย่างเยี่ยม มีศีล" พระราชทรงสดับคุณของฤๅษีเหล่านั้นเสด็จสู่อุทยานทรงนมัสการแล้วกระทำการปฏิสันถาร ผะเดียงให้อยู่ในพระอุทยานนั้นแหละตลอด ๔ เดือนฤดูฝน. นับแต่นั้นฤๅษีเหล่านั้นก็พากันฉันในพระราชวังแห่งเดียว พำนักอยู่ ณพระราชอุทยาน.  อยู่มาวันหนึ่ง ในพระนครได้มีงานนักขัตฤกษ์ชื่อว่าสุรานักษัตร์.

พระราชาทรงพระดำริว่า „สุรา พวกบรรพชิตหาได้ยาก“ จึงรับสั่งให้ถวายสุราอย่างดี เป็นอันมาก พวกดาบสดื่มสุราแล้ว พากันกลับไปอุทยาน ต่างก็เมาสุรา บางพวกลุกขึ้นฟ้อนรำ บางพวกขับร้อง ครั้นฟ้อนรำขับร้องแล้ว ก็พากันนอนหลับทับบริขาร มีไม้คานเป็นต้น พอสร่างเมา พากันตื่น เห็น อาการอันวิปริตของตนนั้น ต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า „พวกเรามิได้กระทำการอันสมควรแก่บรรพชิตเลย“ กล่าวกันว่า „พวกเราจากท่านอาจารย์มา พากันกระทำกรรมอันเลวถึงเพียงนี้“ 

ทันใดนั้นเอง ก็พากันทิ้งอุทยานกลับไปป่าหิมพานต์ เก็บบริขารไว้เรียบร้อยแล้ว พากันไหว้อาจารย์นั่งอยู่แล้ว อันท่านอาจารย์ถามว่า „พ่อคุณทั้งหลาย พวกท่านมิได้ลำบากด้วยภิกษา พากันอยู่สบายในถิ่นของมนุษย์หรือไฉน?, อนึ่งพวกเธอยังจะอยู่กันด้วยความสมัครสมานสามัคคีอยู่หรือ?“ พากันกราบเรียนว่า „ท่านอาจารย์ขอรับ พวกกระผมอยู่กันอย่างสบาย, ก็แต่ว่า พวกผมพากันดื่มในสิ่งไม่ควรดื่ม สลบไสลไปตาม ๆ กัน ไม่อาจดำรงสติได้ พากันขับร้องฟ้อนรำตามเรื่อง“ เมื่อแจ้งเรื่องนั้นแล้วก็พากันยกคาถานี้เรียนอาจารย์ว่า :-  „พวกกระผมได้พากันดื่มได้ชวนกันฟ้อน พากันขับร้องแล้วก็พากันร้องไห้ เพราะดื่มสุราที่ทำให้สัญญาวิปริต ยังดีที่มิได้กลายเป็นลิงไปเสียเลย“. 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปายิมฺห แปลว่า พวกกระผมพากันดื่มสุรา.  บทว่า อนจฺจิมฺห ความว่า ครั้นดื่มสุราแล้ว ก็คะนองมือคะนองเท้า พากันฟ้อนรำ.  บทว่า อคายิมฺหิ ความว่า เปิดปากร้องเพลงด้วยเสียงอันยืดยาว.  บทว่า รุทิมฺห จ ความว่า กลับมีวิปฏิสาร พากันร้องไห้ว่า พวกเราทำกรรมไม่สมควรเห็นปานนี้.  บทว่า ทิฏฺฐา นาหุมฺห วานรา ความว่า เหตุเพราะดื่มสุราที่ชื่อว่ากระทำให้สัญญาวิปริต เพราะทำลายสัญญาเสียได้ถึงเพียงนี้ ข้อนั้นยังดี ที่พวกข้าพเจ้าไม่กลายเป็นลิงไปเสียหมด. พวกอันเตวาสิกเหล่านั้นพากันกล่าวโทษของตน ด้วยประการฉะนี้.

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า „ขึ้นชื่อว่านรชนที่เหินห่างจากการอยู่ร่วมกับครู ย่อมเป็นเช่นนี้ได้ทั้งนั้น" ตำหนิดาบสเหล่านั้นแล้วให้โอวาทว่า „พวกท่านอย่ากระทำกรรมเห็นปานนี้ต่อไปอีก“ มีฌานไม่เสื่อมได้ไปบังเกิดในพรหมโลกแล้ว. พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า „คณะฤๅษีในครั้งนั้นได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนศาสดาของคณะได้มาเป็นเราตถาคต“ ขอประกาศว่า นับแต่เรื่องนี้ไปจะไม่กล่าวถึงบทว่า อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวานี้อีกต่อไป. 

CR: หมายเหตุ ข้อมูลที่มา ภาษาบาฬี จากเว็บไซต์ tipitaka.org คำแปลจาก ฉบับมหิดล, ฉบับสยามรัฐ, ฉบับมหาเถรสมาคม เป็นต้น, ส่วนอรรถกถาแปลโดยมากจากฉบับมหาจุฬาฯ.

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: