วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2564

พระกีสาโคตรมีเถรี เอตทัคคะในฝ่าย ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

พระกีสาโคตรมีเถรี เอตทัคคะในฝ่าย ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

เงินทองของเศรษฐีกลายเป็นถ่าน, ถ่านกลับเป็นเงินทองตามเดิม, อุ้มศพลูกหาหมอรักษา, พระศาสดาบอกยาให้

พระกีสาโคตมีเถรี ถือกำเนิดในสกุลคนเข็ญใจในกรุงสาวัตถี บิดามารดาตั้งชื่อให้นางว่า “โคตมี” แต่เพราะความที่นางเป็นผู้มีรูปร่างผอมบอบบาง คนทั่งไปจึงพากันเรียกนางว่า “กีสาโคตมี”

เงินทองของเศรษฐีกลายเป็นถ่าน

ในกรุงสาวัตถีนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีทรัพย์สินเงินทองมากมายถึง ๔๐ โกฏิ แต่ต่อมา ทรัพย์เหล่านั้น กลายสภาพเป็นถ่านไปทั้งหมด เศรษฐีจึงเกิดความเสียดาย เศร้าโศกเสียใจ กินไม่ ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอมไปจากเดิม มีสหายคนหนึ่ง มาเยี่ยมเยียนได้ทราบสาเหตุความ ทุกข์ของเศรษฐีแล้ว จึงแนะนำอุบายที่จะให้ถ่านเหล่านั้น กลับมาเป็นเงินเป็นทองดังเดิมว่า:- “แน่ะสหาย ท่านจงนำถ่านทั้งหมดนี้ ออกไปวางที่ริมถนนในตลาด ทำทีประหนึ่งว่านำ สินค้าออกมาขาย ถ้ามีคนผ่านไปผ่านมาพูดว่า “คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ท่านกลับเอาเงินทองมานั่งขาย” ถ้าคนที่พูดนั้น เป็นหญิงสาว ท่านก็จงสู่ขอนางมา เป็นสะใภ้ แล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดนั้นให้แก่เธอ ท่านก็จงอาศัยเลี้ยงชีพอยู่กับเธอนั้น แต่ถ้าคนที่ พูดเป็นชายหนุ่ม ท่านก็จงยกธิดาของท่าน ให้แก่เขา แล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดให้แก่เขา โดยทำนอง เดียวกัน

ถ่านกลับเป็นเงินเป็นทองดังเดิม

เศรษฐีได้ฟังสหายแนะนำแล้ว เห็นดีด้วย จึงทำตามสหายแนะนำทุกอย่าง ประชาชนที่ ผ่านไปผ่านมาต่างก็พูดกันว่า “คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ท่าน กลับมานั่งขายถ่าน” เศรษฐีตอบว่า “ก็เรามีแต่ถ่านอย่างเดียว สิ่งอื่น ๆ ของเราไม่มี” วันนั้น นางกีสาโคตรมี เดินเข้าไปธุระในตลาด เห็นเศรษฐีแล้ว นึกประหลายใจจึงถามว่า “คุณพ่อ คนอื่น ๆ คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ทำไมคุณพ่อกลับ เอาเงินทองมาขายเล่า” “เงินทองที่ไหนกัน แม่หนู” เศรษฐีกล่าว “คุณพ่อ ก็ที่กองอยู่นี่ไง” พูดแล้วนางก็กอบเต็มมือให้เศรษฐีดู ทันใดนัน เศรษฐีก็เห็น ถ่านในกำมือของนาง กลายเป็นเงินเป็นทองจริง ๆ

จากนั้น เศรษฐีได้สอบถามถึงสถานที่อยู่ และตระกูลของนางแล้ว ได้สู่ขอนางมาทำพิธี อาวาหมงคลกับบุตรชายของตน แล้วมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏินั้น ให้แก่นาง ทรัพย์เหล่านี้ก็กลับเป็น เงินเป็นทองดังเดิม

อุ้มศพลูกหาหมอรักษา

นางได้อยู่ร่วมกับสามี จนมีบุตรหนึ่งคน ในขณะที่บุตรของนางอยู่ในวัยพอเดินได้เท่านั้น ก็ถึงแก่ความตาย นางห้ามมิให้คนนำบุตรของนางไปเผา หรือไปทิ้งในป่าช้า เพราะนางไม่เคยเห็น คนตาย จึงอุ้มร่างบุตรชายที่ตายแล้วนั้น เที่ยวเดินถามตามบ้านเรือนต่าง ๆ ว่ามียารักษาบุตรของ นางบ้างหรือไม่ คนทั้งหลาย พากันคิดว่า “นางคงจะเป็นบ้า จึงเที่ยวหายารักษาคนตายให้ฟื้น”

อุบาสกผู้มีปัญญาคนหนึ่ง เห็นกิริยาของนางแล้ว ก็คิดว่า “นางคงจะมีบุตรคนแรก จึงรัก บุตรมาก และคงจะไม่เคยเห็นคนตาย จึงไม่รู้ว่าความตาย เป็นอย่างไร เราควรจะแนะนำทางให้ นางดีกว่า” จึงกล่าวกับนางว่า:-  “แม่หนู ฉันเองไม่รู้จักยารักษาลูกของเธอหรอก แต่พระสมณโคดม ขณะนี้ประทับอยู่ที่ พระวิหารเชตวัน พระองค์ท่าน รู้จักยาที่รักษาลูกของเธอได้” นางรู้สึกดีใจ ที่ทราบว่ามีคนสามารถรักษาลูกน้อยของนาง ให้หายได้ จึงอุ้มลูกน้อยรีบ มุ่งหน้าตรงไปยังพระวิหารเชตวัน เข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วทูลถามหายาที่จะ มารักษาลูกของนางให้หายได้.  พระพุทธองค์รับสั่งให้นาง ไปหาเมล็ดพันธุผักกาด หยิบมือหนึ่ง มาเป็นเครื่องปรุงยา แต่ มีข้อแม้ว่า จะต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ผักกาด ที่ได้จากบ้าน ที่ไม่เคยมีคนตายมก่อนเท่านั้น จึงสามารถใช้ เป็นเครื่องปรุงยาได้

พระศาสดาบอกยาให้

ในดวงจิตของนางคิดว่า ของสิ่งนี้ หาไม่ยาก นางอุ้มร่างลูกน้อยเข้าไปในหมู่บ้าน ออก ปากขอเมล็ดพันธุ์ผักกาด ตั้งแต่บ้านหลังแรกเรื่อยไป ปรากฏว่าทุกบ้าน มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดทั้งนั้น แต่พอถามว่า ที่บ้านนี้เคยมีคนตายหรือไม่ เจ้าของบ้านต่างก็ตอบเหมือนกันอีกว่า “ที่บ้านนี้ คนที่ ยังเหลือยู่นี้ น้อยว่าคนที่ตายไปแล้ว” เมื่อทุกบ้านต่างก็ตอบนอย่างนี้ นางจึงเข้าใจว่า “ความตาย นั้นเป็นอย่างไร และคนที่ตาย ก็มิใช่ว่าจะตาย เฉพาะลูกของเธอเท่านั้น ทุกคนเกิดมา ก็ต้องตาย เหมือนกันหมด” นางจึงวางร่างลูกน้อย ไว้ในป่า แล้วกลับไปกราบทูลพระบรมศาสดาว่า “ไม่ สามารถจะหาเมล็ดพันธุ์ผักกาด จากบ้านเรือนที่ไม่เคยมีคนตายได้”

พระพุทธองค์ ได้สดับคำกราบทูลของนางแล้วตรัสว่า:- “โคตมี เธอเข้าใจว่า ลูกของเธอเท่านั้นหรือ ที่ตาย อันความตายนั้น เป็นของธรรมดา ที่มีคู่ กับสัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดมาในโลก เพราะว่ามัจจุราช ย่อมฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยเต็มเปี่ยม ไปด้วยกิเลสตัณหา ให้ลงไปในมหาสมุทร คือ อบายภูมิ อันเป็นเสมือนว่าห้องน้ำใหญ่ ฉะนั้น”

นางได้ฟังพระดำรัส ของพระบรมศาสดาจบลง ก็ได้บรรลุอริยผลดำรงอยู่ในพระโสดาบัน แล้วกราบทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดารับสั่ง ให้ไปบรรพชาในสำนักของภิกษุณีสงฆ์ นาง บวชแล้วได้นามว่า “กีสาโคตมีเถรี”  วันหนึ่งพระเถรี ได้ไปทำความสะอาดโรงอุโบสถ เห็นแสงประทีปที่จุดอยู่ลุกโพลงขึ้น แล้วหรี่ลงสลับกันไป นางจึงถือเอาดวงประทีปนั้น เป็นอารมณ์ กรรมฐานว่า “สัตว์โลก ก็เหมือน กับแสนประทีปนี้ มีเกิดขึ้นและดับไป แต่ผู้ถึงพระนิพพาน ไม่เป็นอย่างนั้น”

ขณะนั้น พระผู้มีประภาคประทับอยู่ภายในพระคันธกุฎิ ทรงทราบด้วยพระญาณว่า นาง กำลังยึดเอาเปลวดวงประทีป เป็นอารมณ์กรรมฐานอยู่นั้น จึงทรงแผ่พระรัศมีไปปรากฏประหนึ่ง ว่าพระองค์ ประทับนั่งตรงหน้าของนางแล้วตรัสว่า:-  “อย่างนั้นแหละโคตมี สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นและดับไป เหมือนเปลวดวงประทีปนี้ แต่ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น ความเป็นอยู่ แม้เพียงชั่วขณะเดียวของผู้เห็นพระ นิพพาน ย่อมประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานนั้น”  เมื่อสิ้นสุดพระพุทธดำรัส นางก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ดำรงตนเป็นพระเถรีผู้เคร่งครัด ในการใช้สอยบริหาร ยินดีเฉพาะผ้าไตรจีวรที่มีสีปอน ๆ และเศร้าหมองเ ที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง

ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดา จึงได้ประทานแต่งตั้งพระเถรีนี้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่าย ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง 

ที่มา : http://www.thammapedia.com/sankha/bhikkhuni_kisakotamee.php



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: