วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2564

“ด้วยอำนาจสายชักคือจิต ยนต์คือกายนี้จึงเดิน ยืน นั่ง และนอนได้เพราะการแผ่ไปของวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต”

“ด้วยอำนาจสายชักคือจิต ยนต์คือกายนี้จึงเดิน ยืน นั่ง และนอนได้เพราะการแผ่ไปของวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต”

เรือใบแล่นไปได้ด้วยกำลังลม ลูกธนูแล่นไปอย่างรวดเร็วด้วยกำลังสายธนู ฉันใด กายนี้อันลมนำไปจึงเดินไปได้ ฉันนั้น.  ยนต์คือกายนี้อันปัจจัยประกอบแล้ว จึงเดิน ยืน นั่ง และนอนได้ ด้วยอำนาจสายชักคือจิต เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่สัตว์หรือบุคคลไร ๆ เดิน ยืน นั่ง และนอน และมันไม่ใช่การเดิน ยืน นั่ง และนอนของสัตว์หรือบุคคลไร ๆ หรอกนะ.   อันการเดิน ยืน นั่ง และนอนได้เพราะการแผ่ไปของวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต 

เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ คือ จิตเกิดขึ้นว่า “เราจะเดิน ยืน นั่ง หรือนอน” จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุ วาโยธาตุก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหว การนำสกลกายให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่า “เดิน”  

ส่วนการทรงสกลกายตั้งขึ้นแต่พื้นเท้าเป็นที่สุด ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่า “ยืน”  ส่วนการคู้กายเบื้องล่างลง ทรงกายเบื้องบนตั้งขึ้น ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่า “นั่ง”   ส่วนการเหยียดกายทั้งสิ้นเป็นทางยาว ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่า “นอน”

แม้สัตว์ดิรัจฉาน เช่นสุนัขเป็นต้น เมื่อเดินไปก็รู้ว่า “ตัวเดิน” ก็จริงอยู่ แต่ในอิริยาบถนั้น มิได้ตรัสหมายเอาความรู้เช่นนั้น เพราะความรู้เช่นนั้น ละความเห็นว่าสัตว์ไม่ได้ เพิกถอนความเข้าใจว่าสัตว์ไม่ได้ ไม่เป็นกัมมัฏฐานหรือสติปัฏฐานภาวนาเลย ส่วนการรู้ของภิกษุผู้เจริญกายานุปัสสนานี้ ย่อมละความเห็นว่าสัตว์ เพิกถอนความเข้าใจว่าสัตว์ได้ เป็นทั้งกัมมัฏฐาน และเป็นสติปัฏฐานภาวนา

พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ), 23/4/64



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: