อกุศลวิตก คือความนึกคิดรำพึงอยู่แต่ในใจที่ไม่ดี มีอยู่ ๓ อย่าง คือ :-
๑.ความนึกคิดในทางแส่หาหรือพัวพันติดข้องในสิ่งที่สนองความอยากอันเป็นไปในทางกาม ๒.ความนึกคิดที่ประกอบด้วยความขัดเคืองเพ่งมองในแง่ร้ายอันเป็นไปในทางพยาบาท ๓.ความนึกคิดในทางทำลายทำร้ายหรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นอันเป็นไปในทางเบียดเบียน
การเกิดความนึกคิดที่เป็นอกุศลทั้ง ๓ ประการนี้ มันเกิดขึ้นได้อยู่เสมอในจิตใจของปุถุชนที่ยังละกิเลสไม่ได้ เมื่อมันเกิดขึ้น ทางแก้เราต้องมีสติกำหนดรู้กาย เวทนา จิต และธรรม ต้องรู้จักตัวจริงของสภาพธรรมตามความเป็นจริงให้เท่าทัน คือรู้ว่ามันเป็นความคิดที่อกุศล เป็นสภาพธรรมที่หยาบ เป็นสภาวะธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และเราก็เป็นทุกข์ แล้วเราจะมานั่งคิดนอนคิดไปทำไม เมื่อรู้อย่างนี้มันจึงจะดับลง
แต่เราก็ไม่สามารถมีสติกำหนดรู้ได้ตลอดเวลา ย่อมมีเวลาเผลอสติแน่นอน ท่านจึงให้เราใช้เวลาหรือใช้ชีวิตประจำวันในแบบผู้ที่สนใจธรรม ฟังธรรมบ่อยๆ หรือเรียนธรรม เพื่ออบรมสติปัญญา เพราะเมื่อเกิดความเข้าใจในธรรม ก็เกิดกุศลจิตในขณะนั้น ขณะนั้นไม่ใช่อกุศลวิตก แต่เป็นกุศลวิตกที่ตรึกนึกคิดเป็นไปในทางกุศล จึงสามารถกล่าวได้ว่า “หากจะละอกุศลวิตก ก็จะต้องทำให้เกิดกุศลวิตกแทนอกุศลวิตก”
พระพุทธองค์ตรัสไว้ในพระสุตตันตปิฎกสังยุตตนิกายขันธวารวรรคว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อกุศลวิตก ๓ อย่างนี้ คือ กามวิตก ๑ พยาบาทวิตก ๑ วิหิงสาวิตก ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ หรือเจริญอนิมิตตสมาธิอยู่ อกุศลวิตก ๓ อย่างนี้แล ย่อมดับโดยไม่เหลือ” ดังนี้ ฯ
พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ) , 21/4/64
0 comments: