"ทุมฺเมธานํ สหสฺเสน, ยญฺโญ เม อุปยาจิโต; อิทานิ โขหํ ยชิสฺสามิ, พหุ อธมฺมิโก ชโนติ ฯ เราได้บนไว้ต่อเทวดา ด้วยคนโง่เขลาหนึ่งพันคน, บัดนี้ เราจักต้องบูชายัญ เพราะคนอธรรมมีมาก.
ทุมเมธชาดกอรรถกถา
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทุมฺเมธานํ ดังนี้.
เรื่องนั้นจักมีแจ้งในมหากัณหชาดก ในทวาทสกนิบาต.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี #พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี แห่งพระราชาพระองค์นั้น ครั้นประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว พระประยูรญาติได้ขนานพระนามให้ว่า พรหมทัตกุมาร พอมีพระชนม์ ๑๖ พรรษาก็ได้ทรงศึกษาศิลปะในเมืองตักกสิลาทรงเจนจบไตรเพทและทรงสำเร็จศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ. ต่อมา พระราชบิดาทรงพระราชทาน ตำแหน่งอุปราชแก่พระองค์. ในครั้งนั้น ประชาชนในกรุงพาราณสี นับถือเทวดาเป็นสิ่งขวัญ พากันนอบนบเทวดา ฆ่าแพะ แกะ ไก่และหมูเป็นต้นมากมาย กระทำการบวงสรวงด้วยดอกไม้และของหอมนานาชนิดและด้วยเนื้อและโลหิต. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า "บัดนี้ ประชาราษฎร์นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ พากันฆ่าสัตว์ มหาชนฝังใจในอธรรมถ่ายเดียวโดยมาก, ถ้าเราได้ราชสมบัติ เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว, จักไม่ให้สัตว์แม้สักตัวเดียวได้ลำบาก ต้องหาอุบายไม่ให้ใคร ๆ ฆ่าสัตว์ตัด ชีวิตให้จงได้".
อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ทรงรถเสด็จออกจากพระนคร ทอดพระเนตรเห็นมหาชนชุมนุมกันที่ ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ใครอยากได้สิ่งใด ๆ ในบรรดา ลูกชาย ลูกหญิง ยศและทรัพย์เป็นต้น ก็พากันบนในสำนักของเทวดา อันสิงอยู่ ณ ต้นไทรนั้น พระองค์จึงเสด็จลงจากรถทรงดำเนินเข้าไปใกล้ต้นไทรนั้นทรงบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ สรงสนาน กระทำปทักษิณต้นไม้เหมือนกับพวกที่ถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ บังคมเทวดาแล้ว เสด็จขึ้นทรงรถกลับเข้าพระนคร ตั้งแต่นั้นมา ก็เสด็จไปที่ต้นไม้นั้น ทุก ๆ ขณะเวลาที่ว่างทรงทำการบูชาเหมือนเป็นผู้นับถือ เทวดาเป็นมิ่งขวัญ ดังพรรณนามาแล้วนั่นแล.
โดยสมัยต่อมา พระราชบิดาสวรรคต พระองค์ก็ได้เสวยราชย์ทรงเว้นอคติ ๔ ประการทรงประพฤติทศพิธราชธรรมเคร่งครัด ดำรงราชโดยธรรมทรงพระดำริว่า มโนรถของเรา ถึงที่สุดแล้ว เราดำรงในราชสมบัติแล้ว แต่ข้อหนึ่งที่เราคิดไว้ครั้งก่อนนั้น ก็จะต้องให้ถึงที่สุดในบัดนี้ พลางมีพระราชกระแสเรียกพวกอำมาตย์และประชาชน มีพราหมณ์ คฤหบดีเป็นต้นมาประชุมกัน ตรัสประกาศว่า „ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านทราบกันไหมว่า เหตุใดเราจึงได้ราชสมบัติ ?“ ประชาชนพากันกราบทูลว่า „ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบ พระเจ้าข้า“.
รับสั่งถามว่า „เมื่อเราบูชาต้นไทรต้นโน้นด้วยของหอมเป็นต้น ประคองกระพุ่มมือนบไหว้อยู่ พวกท่านเคยเห็นหรือไม่เล่า ?“ „ขอเดชะ, เคยเห็นพระเจ้าข้า". พระองค์มีพระราชดำรัสต่อไปว่า „ในครั้งนั้น เราตั้งความปรารถนาไว้ว่า ถ้าได้ราชสมบัติจักกระทำพลีกรรม เราได้ราชสมบัตินี้ด้วยอานุภาพของเทวดานั้น บัดนี้เราจักกระทำพลีกรรมแก่ท้าวเธอ พวกท่านอย่าชักช้าเลย พากันเตรียมพลีกรรมแก่เทวดา เป็นการเร็วเถิด“.
พวกอำมาตย์เป็นต้น ทูลถามว่า „ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจัด สิ่งใดเล่าพระเจ้าข้า ?“, รับสั่งว่า „ท่านทั้งหลาย เมื่อเราบนเทวดาเราได้อ้อนวอนไว้ว่า ข้าพเจ้าจักฆ่าหมู่คนที่พากันประพฤติยึดถือกรรม แห่งคนทุศีล ๕ ประการ มีฆ่าสัตว์เป็นต้นและที่พากันประพฤติยึดถืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ในรัชกาลของข้าพเจ้าแล้วจักทำพลีกรรม ด้วยลำไส้และเลือดเนื้อคนเหล่านั้น, เพราะฉะนั้น พวกท่านจงตีฆ้องประกาศไปว่า พระราชาของพวกเราครั้งดำรงพระยศเป็นอุปราชอยู่นั่นแลทรงบนเทวดาไว้อย่างนี้ว่า „ถ้าทรงครองราชสมบัติ จักให้ฆ่าคนที่ปรากฏว่า ทุศีลในรัชกาล ให้หมดแล้วการทำพลีกรรม, บัดนี้ พระองค์มีพระราชประสงค์จะให้ฆ่าคนที่ประพฤติ ยึดถือกรรมของตนทุศีล ๕ ประการ ซึ่งเป็นคนทุศีลประมาณพันคนแล้วให้เอาเครื่องในมีหัวใจเป็นต้นของคนเหล่านั้นไปทรงกระทำพลีกรรมแก่เทวดา, ชาวพระนครทั้งหลายจงรู้ไว้อย่างนี้เถิด“.
ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้วทรงประกาศพระราชประสงค์ว่า „คราวนี้นับแต่บัดนี้ไป เราจักต้องฆ่าคนที่ประพฤติกรรมของตนทุศีลให้ถึงพันคน บูชายัญ จึงจักพ้นจากการบน“ แล้วได้ตรัสพระคาถานี้ว่า :- „เราเข้าไปบนไว้ ถึงการบูชายัญด้วยคน โง่ ๆ พันคน บัดนี้เล่า เราจักต้องบูชายัญละ คนที่ประพฤติอธรรมมีมากนัก“.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุมฺเมธานํ สหสฺเสน ความว่า บุคคลชื่อว่ามีปัญญาทราม เพราะไม่รู้เลยว่า กรรมนี้ควรทำกรรมนี้ไม่ควรทำ ก็หรือชื่อว่าโง่ เพราะประพฤติยึดถือในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ด้วยคนเขลาที่โง่เง่าไร้ปัญญาเหล่านั้นนับให้ได้พันคน. บทว่า ยญฺโญ เม อุปยาจิโต ความว่า เราได้เข้าไปหาเทวดา บนไว้ถึงการบูชายัญว่า จักบูชายัญอย่างนี้. บทว่า อิทานิ โขหํ ยชิสฺสามิ ความว่า เรานั้นจักบูชายัญในบัดนี้ เพราะได้ครองราชสมบัติด้วยการบนนี้. เพราะเหตุไร ? เพราะเดี๋ยวนี้ คนที่ประพฤติอธรรมมีมากนัก เพราะฉะนั้น ต้องจับเขาไปทำพลีกรรม เสียเดี๋ยวนี้ทีเดียว.
พวกอำมาตย์ฟังพระดำรัสของพระโพธิสัตว์แล้ว ก็รับพระบรมราชโองการว่า „ชอบด้วยเกล้า ฯ พระเจ้าข้า“ แล้วเที่ยวตีกลองป่าวประกาศไปทั่วเมืองพาราณสี อันมีปริมณฑล ๑๒ โยชน์. ชาวประชาทั่วไป ฟังอาญาจากการตีกลองป่าวประกาศแล้ว จะหาคนที่ยึดถือทุศีลกรรม แม้เพียงข้อเดียว สักคนหนึ่งก็ไม่ได้. ด้วยกุสโลบายอันแนบเนียนนี้ ตลอดเวลาที่พระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติอยู่ บุคคลที่กระทำกรรม ในบรรดาทุศีลกรรม ๕ ประการ หรือ ๑๐ ประการ แม้เพียงข้อเดียว. ก็ไม่ปรากฏเลย.
พระโพธิสัตว์มิได้ทรงให้บุคคลแม้เพียงคนเดียวลำบาก โปรดชาวแว่นแคว้นหัวหน้า ให้รักษาศีล แม้พระองค์เอง ก็ทรงบำเพ็ญบุญมีการให้ทานเป็นต้น ในเวลาสิ้นพระชนม์ ก็ทรงพาบริษัทของพระองค์ ไปแน่นเทวนครด้วยประการฉะนี้.
แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่โลก แม้ในกาลก่อน ก็ประพฤติแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า บริษัทในครั้งนั้นได้ มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนพระเจ้ากรุงพาราณสีได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนั้นแล. จบอรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๑๐ จบอัตถกามวรรคที่ ๕ จบปัณณาสก์ที่ ๑
CR: หมายเหตุ ข้อมูลที่มา ภาษาบาฬี จากเว็บไซต์ tipitaka.org คำแปลจาก ฉบับมหิดล, ฉบับสยามรัฐ, ฉบับมหาเถรสมาคม เป็นต้น, ส่วนอรรถกถาแปลโดยมากจากฉบับมหาจุฬาฯ ขอกราบขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้เป็นอย่างสูง.
ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali
0 comments: