วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

โคชานียชาตกํ - ว่าด้วยม้าสินธพอาชาไนย

โคชานียชาตกํ - ว่าด้วยม้าสินธพอาชาไนย

อปิ  ปสฺเสน  เสมาโน,    สลฺเลภิ  สลฺลลีกโต;
เสยฺโยว  วฬวา  โคโช [1],   ยุญฺช  มญฺเญว  สารถีติ ฯ

"ดูกรนายสารถี ม้าสินธพอาชาไนยถูกลูกศรแทงแล้ว แม้นอนตะแคงอยู่ข้างเดียวก็ยังประเสริฐกว่าม้ากระจอก, ท่านจงประกอบฉันออกรบอีกเถิด."

1) [โภชฺโช (สี.), โภชฺโฌ (สฺยา. ปี.)]  

โภชาชานียชาดกอรรถกถา

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันทรงปรารภภิกษุผู้ละความเพียรรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  อปิ  ปสฺเสน  เสมาโน  ดังนี้. 

ความพิศดารว่า สมัยนั้น พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาแล้วตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายแม้ในกาลก่อนได้การทำความเพียรแม้ในที่อันมิใช่ที่อยู่ แม้ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ละความเพียร“ ดังนี้แล้วทรงนำอดีต นิทานมาว่า :- 

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลม้าสินธพชื่อ โภชาชานียะ สมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงได้เป็นม้ามงคลของพระเจ้าพาราณสี พระโพธิสัตว์นั้นบริโภคโภชนะ ข้าวสาลีมีกลิ่นหอมอันเก็บไว้ ๓ ปี ถึงพร้อมด้วยรสเลิศต่างๆ ในถาดทองอันมีราคาแสนหนึ่ง ยืนอยู่ในภาคพื้นอันไล้ทาด้วยของหอมมีกำเนิด ๔ ประการเท่านั้น สถานที่ยืนนั้นวงด้วยม่านผ้ากัมพลแดง เบื้องบนดาดเพดานผ้าอันวิจิตรด้วยดาวทอง ห้อยพวงของหอมและพวงดอกไม้ ตามประทีปน้ำหอม ก็ขึ้นชื่อว่าพระราชาทั้งหลายผู้ไม่ปรารถนาราชสมบัติในนครพาราณสี ย่อมไม่มีคราวหนึ่ง พระราชา ๗ พระองค์พากันล้อมนครพาราณสีทรงส่งหนังสือแก่พระเจ้าพาราณสีว่า จะให้ราชสมบัติแก่เราทั้งหลายหรือจะรบ. 

พระเจ้าพาราณสีให้ประชุมอำมาตย์ทั้งหลายแล้วตรัสบอกข่าวนั้นแล้วตรัสถามว่า „ดูก่อนพ่อทั้งหลาย บัดนี้ พวกเราจะกระทำอย่างไร ?“, อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า „ข้าแต่สมมติเทพ เบื้องต้นพระองค์ยังไม่ต้องออกรบก่อน พระองค์จงส่งทหารม้าชื่อโน้นให้กระทำการรบ เมื่อทหารม้านั้นไม่สามารถข้าพระบาททั้งหลายจักรู้ในภายหลัง“.

พระราชารับสั่งให้เรียกทหารม้านั้นมาแล้วตรัสว่า „ดูก่อนพ่อ เธอจักอาจการทำการรบกับพระราชา ๗ องค์หรือไม่“. นายทหารม้ากราบทูลว่า „ข้าแต่สนมติเทพ ถ้าข้าพระบาทได้ม้าสินธพชื่อโภชาชานียะไซร้ พระราชา ๗ พระองค์จงยกไว้ ข้าพระบาทจักอาจรบกับพระราชาทั่วทั้งชมพูทวีป“.

พระราชาตรัสว่า „ดูก่อนพ่อ ม้าสินธพโภชาชานียะ หรือม้าอื่นก็ช่างเถิด“. 

นายทหารม้านั้นรับพระดำรัสแล้ว ถวายบังคมพระราชาลงจากปราสาท ให้น้ำม้าสินธพโภชาชานียะมา แม้คนก็ผูกสอดเกราะทุกอย่าง เหน็บพระขรรค์ ขึ้นหลังม้าสินธพตัวประเสริฐ ออกจากพระนครไปประดุจฟ้าแลบ ทำลายกองพลที่ ๑ จับเป็นพระราชาได้องค์หนึ่ง พามามอบให้แก่พลในนครแล้วกลับไปอีก ทำลายกองพลที่ ๒ กองพลที่ ๓ ก็เหมือนกัน จับเป็นพระราชาได้ ๕ องค์อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้ แล้วทำลายกองพลที่ ๖ ในคราวจับพระราชาองค์ที่ ๖ ม้าสินธพโภชาชานียะได้รับบาดเจ็บ เลือดไหล เวทนากล้าเป็นไป นายทหารม้านั้นรู้ว่า ม้าสินธพนั้นได้รับบาดเจ็บ จึงให้ม้าสินธพโภชาชานียะนอนที่ประตู พระราชวัง เริ่มทำเกราะให้หลวมเพื่อจะผูกเกราะม้าตัวอื่น 

พระโพธิสัตว์ทั้งที่นอนทางข้างที่ที่ความผาสุกมาก ลืมตาขึ้นเห็นนายทหารม้า (ทำอย่างนั้น) จึงคิดว่า „นายทหารมานี้จะหุ้มเกราะม้าตัวอื่นและม้าตัวนี้จักไม่สามารถทำลายกองพลที่ ๗ จับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้และกรรมที่เราทำไว้แล้วจักพินาศหมดแม้นายทหารม้าซึ่งไม่มีผู้เปรียบก็จักพินาศ แม้พระราชาก็จักตกอยู่ในเงื้อมมือของพระราชาอื่น เว้นเราเสียม้าอื่นชื่อว่าสามารถเพื่อทำลายกองพลที่ ๗ แล้วจับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ย่อมไม่มี“

ทั้ง ๆ ที่นอนอยู่นั่นแล ให้เรียกนายทหารม้ามาแล้วกล่าวว่า „ดูก่อนนายทหารน้ำผู้สหาย เว้นเราเสียชื่อว่าม้าอื่นผู้สามารถเพื่อทำลายกองพลที่ ๗ แล้วจับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ย่อมไม่มีเราจักไม่ทำกรรมที่เรากระทำแล้ว ให้เสียหายท่านจงให้เราแลลุกขึ้นแล้ว ผูกเกราะเถิด“,  ครั้นกล่าวแล้วจึงกล่าวคาถานี้ว่า :- 

„ม้าสินธพอาชาไนยถูกลูกศรแทงแล้ว แม้นอนตะแคงอยู่ข้างเดียว ก็ยังประเสริฐกว่า น้ำกระจอก ดูก่อนนายสารีท่านจงประกอบฉันออกรบเถิด“. 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  อปิ  ปสฺเสน  เสมาโน  ได้แก่ แม้นอนโดยข้างๆ เดียว.  บทว่า  สลฺเลภิ  สลฺลลีกโต  ความว่า เป็นผู้แม้ถูกศรทั้งหลายแล้ว.   บทว่า  เสยฺโยว  วฬวา  โภชฺโฌ  ความว่า ม้ากระจอกซึ่งไม่ได้เกิดในตระกูลม้า ม้าสินธพชื่อว่าวฬวะ ม้าโภชาชานียสินธพชื่อว่าโภชฌะ ดังนั้น ม้าโภชาชานียสินธพนั่นแหละ แม้ถูกลูกศรแทงแล้วก็ยังประเสริฐคือเลิศ อุดม กว่า ม้ากระจอกนั่น.  ด้วยบทว่า  ยุญฺช  มญฺเญว  สารถิ  นี้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า „เพราะเหตุที่เราแล แม้จะไปด้วยอาการอย่างนี้ก็ยังประเสริฐกว่า ฉะนั้นท่านจงประกอบเราเถิด อย่าประกอบม้าตัวอื่นเลย“. 

นายทหารม้าพยุงพระโพธิสัตว์ให้ลุกขึ้นพันแผลแล้ว ผูกสอดเรียบร้อยนั่งบนหลังของพระโพธิสัตว์นั้น ทำลายกองพลที่ ๗ จับเป็นพระราชาองค์ที่ ๗ แล้วมอบ ให้แก่พลของพระราชา. 

คนทั้งหลายนำแม้พระโพธิสัตว์มายังประตูพระราชวัง พระราชาเสด็จออกเพื่อทอดพระเนตรพระโพธิสัตว์นั้น พระมหาสัตว์ทูลพระราชาว่า „ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงฆ่าพระราชาทั้ง ๗ เลยจงให้กระทำสบถแล้วปล่อยไป, พระองค์จงประทานยศที่จะพึงประทานแก่ข้าพระบาทและนายทหารม้า ให้เฉพาะแก่นายทหารม้าเท่านั้น, การจับพระราชา ๗ องค์ได้แล้ว ทำทหารผู้กระทำการรบให้พินาศย่อมไม่ควร, แม้พระองค์ก็จงทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีลทรงครองราชสมบัติโดยธรรม“. เมื่อพระโพธิสัตว์ให้โอวาทแก่พระราชาอย่างนี้แล้ว คนทั้งหลายจึงถอดเกราะของพระโพธิสัตว์ออกเมื่อเกราะสักว่า ถูกถอดออกเท่านั้น พระโพธิสัตว์นั้นดับไปแล้ว.

พระราชาทรงให้ทำฌาปนกิจสรีระของพระโพธิสัตว์นั้นได้ประทานยศใหญ่แก่นายทหารม้าทรงให้พระราชาทั้ง ๗ พระองค์ทรงกระทำสบถเพื่อไม่ประทุษร้ายพระองค์อีกแล้วทรงส่งไปยังที่ของตนทรงครองราชสมบัติโดยธรรม โดยสม่ำเสมอ ในเวลาสุดสิ้นพระชนมายุได้เสด็จไปตามยถากรรม.

พระศาสดา ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อนได้กระทำความเพียรแม้ในที่อันมิใช่บ่อเกิดอย่างนี้ แม้ได้รับบาดเจ็บเห็นปานนี้ ก็ไม่ละความเพียร ส่วนเธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ เพราะเหตุไร? จึงละความเพียรเสีย“, แล้วทรงประกาศสัจจะทั้ง ๔ ในเวลาจบสัจจะภิกษุผู้ละความเพียรตั้งอยู่ในพระอรหัตผล 

ฝ่ายพระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนท์ นายทหารม้าในครั้งนั้นได้เป็นพระสารีบุตร ส่วนโภชาชานียสินธพในครั้งนั้นได้เป็นเราแล.

Credit: Palipage : Guide to Language - Pali

22. ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า , 21. ว่าด้วยกวางกุรุงคะ , 20. เหตุที่ไม้อ้อเป็นรูทะลุตลอด , 19. ว่าด้วยการเปลื้องตน , 18. ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ , 17. ว่าด้วยความหนาวเกิดแต่ลม , 16. ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน , 15. ว่าด้วยผู้ล่วงเลยโอวาท , 14. ว่าด้วยอำนาจของรส , 13. ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง , 12. ว่าด้วยการเลือกคบ , 11. ว่าด้วยผู้มีศีล , 10. ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข , 9. ว่าด้วยเทวทูต , 8. ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้ , 7. ว่าด้วยพระเจ้ากัฏฐวาหนะ ,  6. ว่าด้วยธรรมของเทวดา , 5. ว่าด้วยราคาข้าวสาร,  4. ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้ , 3.  ว่าด้วยเสรีววาณิช , 2. ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน , 1. ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ 

รวมภาพพุทธประวัติเรียงลำดับเหตุการณ์ , ภาพวาดพุทธประวัติ , พุทธประวัติโดยย่อ , เหตุไฉนผิวพรรณจึงผ่องใส ? , ทุกข์ปรากฎที่ไหนต้องดับที่นั้น , รู้เพื่อละ , การดับทุกข์ได้จริงและถูกต้อง ต้องไม่ทำบาปดับทุกข์ , การใคร่ครวญก่อนแล้วจึงตัดสินใจเป็นการดี






Previous Post
Next Post

0 comments: