วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2564

สนฺถวชาตกํ - ว่าด้วยความสนิทสนม


 สนฺถวชาตกํ - ว่าด้วยความสนิทสนม

"น  สนฺถวสฺมา  ปรมตฺถิ  ปาปิโย,   โย  สนฺถโว [1]  กาปุริเสน  โหติ;  สนฺตปฺปิโต  สปฺปินา  ปายเสน [2],    กิจฺฉากตํ  ปณฺณกุฏึ  อทยฺหิ [3] ฯ

สิ่งอื่นที่จะชั่วช้ายิ่งขึ้นไปกว่าความสนิทสนมเป็นไม่มี ความสนิทสนมกับบุรุษเลวทราม เป็นความชั่วช้า เพราะไฟนี้เราให้อิ่มหนำแล้วด้วยสัปปิและข้าวปายาส ยังไหม้บรรณศาลาที่เราทำได้ยากให้พินาศ."

"น  สนฺถวสฺมา  ปรมตฺถิ  เสยฺโย,    โย  สนฺถโว  สปฺปุริเสน  โหติ;  สีหสฺส  พฺยคฺฆสฺส  จ  ทีปิโน  จ,    สามา  มุขํ  เลหติ  สนฺถเวนาติ ฯ

สิ่งอื่นที่จะประเสริฐยิ่งไปกว่าความสนิทสนมเป็นไม่มี ความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เป็นความประเสริฐ สามามฤคีเลียปากราชสีห์ เสือโคร่งและเสือเหลืองได้ ก็เพราะความรักใคร่สนิทสนมกัน."

1) [สนฺธโว (ก.)]  2) [ปายาเสน (ก.)] 3) [อทฑฺฒหิ (สี. สฺยา.), อทฏฺฐหิ (ปี.), อททฺทหิ (?)]

อรรถกถาสันถวชาดกที่ ๒

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภการบูชาไฟ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  น  สนฺถวสฺมา  ปรมตฺถิ  ปาปิโย  ดังนี้.

เรื่องราวเหมือนกับที่กล่าวไว้แล้วในนังคุฏฐชาดกนั้นแล (เอกกนิบาต ๑๔๔). ภิกษุทั้งหลายเห็นชฏิลเหล่านั้นบูชาไฟ จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชฏิลทั้งหลายประพฤติตบะผิดมีประการต่าง ๆความเจริญในการนี้มีอยู่หรือหนอ?“

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความเจริญไร ๆในการนี้เลย แม้โบราณบัณฑิตก็สำคัญว่า มีความเจริญ เพราะการบูชาไฟ จึงบูชาไฟเป็นเวลานาน ครั้นเห็นไม่มีความเจริญในกรรมนั้น จึงเอาน้ำดับไฟ เอากิ่งไม้เป็นต้นฟาดมิได้กลับมาดูอีกต่อไป“ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าว่า :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์. มารดาบิดาเก็บไฟวันเกิดของพระโพธิสัตว์ไว้แล้ว กล่าวกะพระโพธิสัตว์เมื่อมีอายุได้ ๑๖ ปีว่า „ลูกรัก ลูกจะรับเอาไฟวันเกิดไปบำเรอไฟในป่า หรือจักเรียนไตรเพท เพราะปกครองสมบัติอยู่เป็นฆราวาส?“  พระโพธิสัตว์ตอบว่า „ลูกไม่ต้องการอยู่เป็นฆราวาสลูกจักบำเรอไฟในป่ามุ่งหน้าต่อพรหมโลก“ แล้วจึงรับเอาไฟวันเกิดไหว้มารดาบิดา เข้าไปในป่า อาศัยอยู่ในบรรณศาลาบำเรอไฟ.

วันหนึ่งพระโพธิสัตว์นั้น ไปยังที่เชิญเลี้ยงได้ข้าวปายาสกับสัปปิมา คิดว่า „เราจักถวายข้าวปายาสนี้แก่มหาพรหม“ จึงนำข้าวปายาสนั้นมา ตั้งใจว่า „เราจะบูชาไฟ ให้พระเพลิงผู้เป็นเจ้าดื่มข้าวปายาสผสมด้วยสัปปิก่อน“ แล้วสาดข้าวปายาสลงไปในไฟ.

ข้าวปายาสมียางมากพอใส่เข้าไปในไฟ ไฟก็ลุกมีเปลวพุ่งขึ้นไหม้บรรณศาลา. พราหมณ์ทั้งกลัวทั้งตกใจก็หนีออกไปยืนอยู่ ภายนอกบ่นว่า „ไม่ควรทำความสนิทสนมกับคนชั่ว บัดนี้ บรรณศาลาของเราซึ่งทำแสนยากถูกไฟเผาเสียแล้ว“ จึงกล่าวคาถา แรกว่า :-

„สิ่งอื่นที่จะชั่วช้ายิ่งขึ้นไปกว่า ความสนิทสนมเป็นไม่มี, ความสนิทสนมกับบุรุษเลวทราม เป็นความชั่วช้า, เพราะไฟนี้เราให้อิ่มหนำแล้ว ด้วยสัปปิและข้าวปายาส ยังไหม้บรรณศาลา ที่เราทำได้ยากให้พินาศ.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  น  สนฺถวสฺมา  ความว่า ความสนิทสนมมีสองอย่าง คือ ความสนิทสนมด้วยอำนาจตัณหา ๑ ความสนิทสนมด้วยความเป็นมิตร ๑ ไม่มีสิ่งอื่นที่จะเลวทรามต่ำช้ายิ่งไปกว่า ความสนิทสนมสองอย่างนั้น.   บทว่า  โย  สนฺถโว  กาปุริเสน  ความว่า ไม่มีความสนิทสนมอื่นที่เลวทรามกว่า ความสนิทสนมสองอย่างนี้กับคนชั่วช้าเลวทราม. ถามว่า เพราะเหตุไร?. ตอบว่า เพราะไฟที่เราเลี้ยงให้อิ่มหนำด้วยสัปปิและข้าวปายาสได้เผาบรรณศาลาที่เราสร้างไว้โดยลำบาก.

ครั้นพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว ก็คิดว่า „เราไม่ต้องการด้วยสิ่งที่ทำลายมิตร“ จึงเอาน้ำดับไฟนั้นเสียแล้ว เอากิ่งไม้ฟาด เข้าไปสู่ภายในป่าหิมพานต์ พบแม่เนื้อตัวหนึ่งชื่อสามาเลียปากราชสีห์ เสือโคร่งและเสือเหลือง จึงดำริว่า „ไม่มีความประเสริฐอื่น นอกจากความสนิทสนมกับสัตบุรุษ“ แล้วจึงกล่าวคาถาที่สอง ว่า :-

„สิ่งอื่นที่จะประเสริฐยิ่งไปกว่า ความสนิทสนมเป็นไม่มี,​ ความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เป็นความประเสริฐ, แม่สามามฤคีเลียปากราชสีห์ เสือโคร่งและเสือเหลืองได้ ก็เพราะความรักใคร่ สนิทสนมกัน.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  สามามุขํ  เลหติ  สนฺถเวน  ความว่า แม่เนื้อสามาเลียปากสัตว์ทั้งสามเหล่านี้ด้วยความสนิทสนม คือด้วยความเสน่หา.

ครั้นพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้วจึงเข้าไปภายในป่าหิมพานต์ บรรพชาเป็นฤาษี ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด ครั้นสิ้นชีพก็เข้าถึงพรหมโลก.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดก. เราได้เป็นดาบสในครั้งนั้น. จบอรรถกถาสันถวชาดกที่ ๒

ที่มา : Palipage: Guide to Language - Pali




Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: