วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2564

นกุลชาตกํ - ว่าด้วยอย่าวางใจมิตร

นกุลชาตกํ - ว่าด้วยอย่าวางใจมิตร

"สนฺธึ  กตฺวา  อมิตฺเตน,    อณฺฑเชน  ชลาพุช;

วิวริย  ทาฐํ  เสสิ [1],    กุโต  เต  ภยมาคตํฯ

ดูกรพังพอน ท่านได้ทำมิตรภาพกับงูผู้เป็นศัตรูแล้ว ไฉนจึงยังนอนแยกเขี้ยวอยู่อีกเล่า ภัยที่ไหนจะมาถึงแก่ท่านอีก?"

"สงฺเกเถว [2]  อมิตฺตสฺมึ,     มิตฺตสฺมิมฺปิ  น  วิสฺสเส;

อภยา  ภยมุปฺปนฺนํ,     อปิ  มูลานิ  กนฺตตีติ [3]ฯ

บุคคลพึงระแวงในศัตรูไว้ แม้ในมิตรก็ไม่ควรวางใจ ภัยเกิดขึ้นแล้วจากมิตร ย่อมตัดมูลรากทั้งหลายเสีย."

1) [สยสิ (สี. สฺยา. ปี.)]  2) [สงฺกเตว (ก.)]  3) [มูลํ นิกนฺตตีติ (สี.)]

อรรถกถานกุลชาดกที่ ๕

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภการทะเลาะของเสณี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สนฺธึ กตฺวา อมิตฺเตน ดังนี้.

เรื่องราว เหมือนกับที่กล่าวไว้แล้วในอุรคชาดก (ทุกนิบาต ทัฬหวรรคที่ ๒, เรื่องที่ ๑๕๔) ในหนก่อน. แม้ในเรื่องนี้พระศาสดาก็ตรัสว่า „ก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาอำมาตย์สองคนเหล่านี้มิใช่เราทำให้สามัคคีกันในบัดนี้เท่านั้น, แม้เมื่อก่อนเราก็ได้ทำให้คนเหล่านี้สามัคคีกันเหมือนกัน“ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า. :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี  พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ ในบ้านแห่งหนึ่ง ครั้นเจริญวัยได้เรียนคิลปะทุกแขนง ในกรุงตักกสิลา สละเพศฆราวาสออกบวชเป็นฤาษี ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด มีรากไม้และผลาผลในป่าเป็นอาหาร โดยการเที่ยวแสวงหา พำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ.

ท้ายสุดที่จงกรมของพระโพธิสัตว์มีพังพอนอาศัยอยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง. ใกล้จอมปลวกนั้นมีงูอาศัยอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง. งูและพังพอนทั้งสองก็ทะเลาะกันตลอดกาล.

พระโพธิสัตว์กล่าวถึงโทษในการทะเลาะกันและอานิสงส์ในการเจริญเมตตาแก่สัตว์ทั้งสองนั้นแล้วสอนว่า "ไม่ควรทะเลาะกัน ควรอยู่กันด้วยความสามัคคี" ได้ทำให้สัตว์ทั้งสองนั้นสามัคคีกัน. ครั้นถึงเวลาที่งูออกไปข้างนอก พังพอนก็นอนอ้าปากหันหัวไปทางช่องโพลงจอมปลวก ท้ายที่จงกรมหายใจเข้าออกหลับไป.  พระโพธิสัตว์เห็นพังพอนนั้นนอนหลับเมื่อจะถามว่า „ภัยอะไรเกิดขึ้นแก่เจ้า?“ จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-

„ดูก่อนพังพอนท่านได้ทำมิตรภาพกับงู ผู้เป็นศัตรู ไฉนจึงยังนอนแยกเขี้ยวอยู่อีกเล่า ภัยที่ไหนจะมาถึงแก่ท่านอีก?“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  สนฺธึ  กตฺวา  คือทำความเป็นมิตรกัน.   บทว่า  อณฺฑเชน  งูซึ่งเกิดในกะเปาะไข่.  เรียก พังพอนว่า  ชลาพุชะ.  ด้วยว่า พังพานนั้นเรียกว่า ชลาพุชะเพราะเกิดในครรภ์ บทว่า  วิวริย  แปลว่า อ้าปาก.

พระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว พังพอนจึงบอกว่า „พระคุณเจ้า ขึ้นชื่อว่าศัตรูไม่ควรดูหมิ่น ควรระแวงไว้เสมอ“ แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

„บุคคลพึงระแวงภัยในศัตรูไว้ แม้ในมิตร ก็ไม่ควรวางใจ ภัยเกิดขึ้นแล้วจากมิตรย่อมตัดมูลรากทั้งหลายเสีย.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  อภยา  ภยมุปฺปนฺนํ  ได้แก่ ภัยไม่เกิดแก่ท่านจากโอกาสนี้ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีภัย ใครจัดว่า เป็นมิตร ผู้ที่คุ้นเคยจัดว่า เป็นมิตร เพราะฉะนั้น ภัยย่อมเกิดขึ้นจากมิตรนั้นย่อมตัดแม้มูลรากนั้นเสีย อธิบายว่า ชื่อว่าย่อมเป็นไปเพื่อกำจัดมูลราก เพราะค่าที่มิตรรู้โทษทั้งหมดแล้ว.

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้สอนพังพอนนั้นว่า „เจ้าอย่ากลัวเลย เราได้กระทำโดยที่ไม่ให้งูทำร้ายเจ้าแล้ว ตั้งแต่นี้ไปเจ้าอย่าได้ระแวงงูนั้นเลย“ แล้วสอนให้เจริญพรหมวิหารสี่มุ่งต่อพรหมโลก. แม้สัตว์เหล่านั้นก็ไปตามยถากรรม.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดก. งูและพังพอนในครั้งนั้นได้เป็นมหาอำมาตย์สองคนในบัดนี้. ส่วนดาบส คือเราตถาคตนี้แล. จบอรรถกถานกุลชาดกที่ ๕

Credit: Palipage: Guide to Language - Pali








Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: