วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564

ทำนายปัตถเวน - คำทำนายที่โคตรแม่น (ตอน ๑๒)

ทำนายปัตถเวน - คำทำนายที่โคตรแม่น (ตอน ๑๒)

คำทำนายฝันครั้งประวัติศาสตร์

ความฝันข้อที่ ๙  ริมสระใสตลอด แต่ตรงกลางขุ่นข้น

ฝันเห็นสระน้ำแห่งหนึ่ง น้ำลึก มีบัวเบญจพรรณดารดาษ มีทางลงได้รอบด้าน บรรดาสัตว์สองเท้าสี่เท้าต่างก็พากันลงไปกินน้ำในสระนั้น แต่ว่าตรงกลางสระที่ลึกนั้น น้ำขุ่น ส่วนตรงขอบสระที่ฝูงสัตว์ลงไปเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลา น้ำกลับใสสะอาด 

คำทำนาย: 

ในอนาคต ผู้ปกครองบ้านเมืองจะไร้คุณธรรม มีแต่อคติในใจ ไม่ปฏิบัติราชการโดยชอบธรรม มุ่งกอบโกยแต่ผลประโยชน์ เห็นแก่เงินเป็นที่สุด มิได้มีน้ำใจเห็นแก่ทุกข์ยากของราษฎร ทั้งจะหยาบช้าทารุณกดขี่ขูดรีดเอาแก่ราษฎรทุกวิถีทาง เมื่อราษฎรทนต่อความบีบคั้นกดขี่ไม่ไหว ก็จะพากันทิ้งบ้านเมืองออกไปอยู่ตามป่าชายแดน ตัวเมืองจะโรยรา บ้านป่าจะหนาแน่น ประดุจสระน้ำที่ขุ่นตรงกลาง แต่ใสตรงขอบฉะนั้น

สรุปคำทำนายคือ ในอนาคต ตัวเมืองจะร้างผู้คน แต่ตำบลชายแดนจะคึกคัก

ความเห็น:

เรื่องผู้ปกครองบ้านเมืองแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวโดยวิธีกอบโกยเบียดบังเอาจากประชาชนนั้น เห็นจะไม่ต้องพูดถึงว่าเท็จหรือจริงประการใด 

อดีตก็ทำกันมาแล้ว  ปัจจุบันก็ยังทำกันอยู่   อนาคตก็จะทำกันต่อไป  เพราะฉะนั้น ละไว้ฐานเข้าใจ

แต่ที่สรุปว่า “ตัวเมืองจะโรยรา บ้านป่าจะหนาแน่น” นี่ น่าคิดมาก 

แต่เดิมมนุษย์ก็อยู่ป่า แล้วสิ่งที่เรียกกันว่า “ความเจริญ” ก็ทำให้มนุษย์โค่นป่าลงเป็นเมือง แล้วก็ขยายเมืองออกไปเรื่อยๆ   จนกระทั่งสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมชาติ” ของพื้นพิภพนี้ไม่มีเหลือให้มนุษย์สัมผัสได้อีกต่อไป 

โดยเฉพาะภายในตัวเมืองด้วยแล้ว ต้องเรียกว่าปราศจากธรรมชาติของพื้นพิภพโดยเด็ดขาด   มนุษย์ในตัวเมืองมีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งที่มนุษย์ผลิตขึ้นโดยวิธีที่ห่างจากธรรมชาติไปทุกที   แล้วในที่สุด สิ่งที่เรียกกันว่า “ภาวะมลพิษ” ก็เกิดขึ้นเบียดเบียนบีบคั้นมนุษย์เอง 

ใครเป็นตัวการที่ทำให้เกิดภาวะมลพิษขึ้น?  

สืบสาวไปให้ลึกๆ ยาวๆ ก็คงพบได้ว่า-ไม่พ้นกลุ่มที่เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองนั่นเอง   เพราะไม่มีการจัดระบบให้ถูกต้องเหมาะสม  เพราะไม่มีกระบวนการแก้ไขและป้องกันที่มีประสิทธิภาพจริง   และแม้จะมีข้อกำหนดกระบวนการแก้ไขและป้องกัน ก็ยังถูกกัดกร่อนบ่อนเบียนด้วยการมุ่งเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวและความไร้คุณธรรมด้วยประการต่างๆ จนระเบียบไม่เป็นระเบียบ

ในที่สุด ตัวเมืองก็จะดำเนินไปสู่ “ความเน่าเสีย” ดังที่กำลังเกิดขึ้นแก่เมืองหลวงของประเทศต่างๆ ในโลก รวมทั้งเมืองหลวงของประเทศไทยเราด้วย และกำลังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ทุกวันนี้   เมื่อ “ความเน่าเสีย” ขยายตัวไปตามตัวเมืองต่างๆ อย่างทั่วถึง แล้วจะมีมนุษย์ชนิดไหนทนอยู่ได้ โดยเฉพาะมนุษย์ที่มีแต่ความยากไร้ ไม่มีพลังพอที่จะป้องกันตัวเองให้พ้นจากความเน่าเสียอยู่ในท่ามกลางแห่งความเน่าเสียเหล่านั้น 

เศรษฐีมหาเศรษฐีอาจจะสร้างบ้านชนิดที่เป็นเขตปลอดภาวะมลพิษอยู่ในตัวเมืองได้ แต่คนจนจะทนเอามือปิดจมูกหรือคาดหน้ากากอนามัยเวลาเดินไปตามถนนหนทางอยู่ได้นานเท่าไรกัน 

เพราะฉะนั้น การที่เมืองหลวงจะร้างรา บ้านป่าจะหนาแน่น จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้เอามากๆ 

ที่ว่ามานี้เป็นเรื่องทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมหรือเป็นวัตถุ ส่วนในทางนามธรรมหรือจิตใจ ผมก็คิดว่าจะเข้ารอยเดียวกัน คือ “ในเมืองหลวงเสื่อมทราม แต่ไปดีงามอยู่แถวบ้านนอก” 

ไม่ว่าจะเป็นประเพณี วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมต่างๆ ยังมีรักษาไว้มั่นคงดีงามอยู่แต่ในชนบท   ส่วนในตัวเมือง โดยเฉพาะในเมืองหลวงนั้น สิ่งเหล่านี้พบกับ “ความเน่าเสีย” แทบจะไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว   จะดูความเป็นไทยแท้ๆ เดี๋ยวนี้ ต้องไปตามบ้านนอกนะขอรับท่าน ส่วนในกรุงน่ะ สาบสูญไปหมดแล้ว 

ที่ยังมองเห็นอยู่บ้างเป็นบางสถานที่หรือบางโอกาสนั่นน่ะ เป็นเพียงการจัดฉากหรือของเล่นทั้งนั้น ในชีวิตจริงของคนเมืองหลวงนั้นไม่มีหรอก   พิสูจน์ได้ง่ายๆ มาก ในชนบทนั้นยังจะขอข้าวขอน้ำกินกันได้ไม่ยาก อย่างที่ว่า  “เป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ   ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ” 

แต่ในเมืองหลวงนี่ อย่าว่าถึงขอข้าวขอน้ำกินเลยครับ เอาแค่ถามกันว่ารถเมล์สายนี้ไปถึงไหน แค่นี้ก็ถูกมองตั้งแต่หัวจนถึงเท้าเข้าไปแล้ว   สังคมเมืองสั่งสอนให้หวาดระแวงกัน – “คนสมัยนี้ไว้ใจกันไม่ได้”  เวลานี้โรคหวาดระแวงนี้แพร่ทั่วไปหมดทุกสังคม จนเป็นเรื่องปกติ

มนุษย์ประสบความสำเร็จมากมายหลายเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่มนุษย์ล้มเหลวอย่างยิ่ง คือ ไม่สามารถคัดกรองคนเลวออกจากคนดีได้

แม้กิจการในทางพระศาสนาก็ไม่เว้นที่จะตกอยู่ในสภาพ “ตรงกลางน้ำขุ่น ข้างๆ น้ำใส” 

การประพฤติปฏิบัติตามธรรมเนียมสงฆ์ต่างๆ ก็ดี การประพฤติยึดธรรมเนียมวินัยเคร่งครัด จนถึงเห็นเป็นความจำเป็นในชีวิตประจำวันก็ดี การบำเพ็ญจิตภาวนาก็ดี ล้วนแต่ยังสดใสอยู่แถวๆ บ้านนอกบ้านนาชายป่าชายแดนทั้งนั้น 

ในตัวเมืองหรือในเมืองหลวงนั้น ที่ยังบริสุทธิ์บริบูรณ์ผุดผ่องจริงๆ หายากเต็มที  จะมีแต่ประเภท “ข้างนอกสุกใส ข้างในซุกซ่อน” ทำให้เกิดสับสนปั่นป่วนกันไปหมดนั่นแหละมาก  เป็นอันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเน่าไปจากข้างใน และเน่าหมดทุกๆ ส่วน ทั้งด้านรูปธรรมและนามธรรม 

ใครที่คิดจะเข้ามาปักหลักอยู่ในเมืองหลวง ก็น่าจะคิดให้ลึกๆ และยาวๆ หน่อย เพราะบางทีอาจจะช่วยชะลอความบูดเน่าในเมืองหลวงไม่ให้เกิดขึ้นเร็วเกินไปได้บ้าง   แต่ดูๆ กันไปแล้ว เรื่องนี้คงจะห้ามกันยาก ที่ไหนมีความสะดวกสบาย คนก็มักจะอยากไปอยู่ที่นั่น 

เมื่ออยู่กันมากๆ เข้า ความเน่าเสียก็ย่อมจะติดตามมาเป็นธรรมดา 

คราวนี้แม้จะรู้สึกว่าไม่ค่อยจะสะดวกสบายอย่างที่เคยมี แต่ก็ออกไปได้ยาก เพราะลงหลักปักเสาเข้าไปแล้ว ถูกผูกติดไว้กับความเคยชิน ก็เลยจำเป็นต้องอยู่ พร้อมกับเรียกร้องให้มีการแก้ไขความเน่าเสียทั้งหลายอยู่เอ็ดอึง แต่ก็ไม่มีใครยอมหยุดยั้งการกระทำที่ก่อให้เกิดความเน่าเสียนั้นๆ รวมทั้งตัวผู้เรียกร้องนั้นเองก็ตกอยู่ในระบบที่เป็นกระบวนการสร้างความเน่าเสียนั้นเสียเองด้วย    ก็เลยต้องอยู่กันทั้งเน่าๆ 

ที่ที่จะก่อความสบายให้แก่ชีวิต ยังมีอยู่อีกตั้งมากมาย ไม่ไปอยู่กัน ไม่รู้ว่าในเมืองหลวงนี่มีอะไรดีนักหนา คนถึงยอมเข้ามาสูดกลิ่นไอความเน่ากันอยู่ได้ ชอบกลจริงๆ 

แล้วสถานการณ์ Coronavirus disease 2019 หรือโควิท-๑๙ (COVID-19) เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?

ในความเห็นของผม โควิท-๑๙ เป็นสิ่งที่ภาษาทางทหารเรียกว่า “ส่วนล่วงหน้า” คือเจ้าหน้าส่วนที่มาเตรียมการรอรับเจ้านายตัวจริงที่จะตามมา พร้อมกันนั้นก็ทำหน้าที่เสมือนทูตส่งคำเตือนไปในตัว  “เจ้านายตัวจริง” ในเรื่องนี้ก็คือความพินาศของมนุษย์หรือของโลกอันเกิดการที่มนุษย์ทำลายธรรมชาติ รวมทั้งทำสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และทำสิ่งที่เกินความจำเป็นตามธรรมชาติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ขอให้สังเกตว่า กระบวนการรับมือ โควิท-๑๙ ที่ประเทศต่างๆ จัดการอยู่นั้นเป็นเพียงการป้องกันรักษาชีวิตให้รอดจากโรคเท่านั้น   ยังไม่มีใครพูดถึงและเตรียมการไปถึงการหยุดทำลายธรรมชาติอันเป็นต้นตอรากเหง้าของปัญหา และคืนธรรมชาติให้แก่โลกอันเป็นการรักษาชีวิตมนุษย์และรักษาโลกที่ยั่งยืนมั่นคง 

แม้แต่ที่มีการพูดถึง New normal ซึ่งฟังดูเป็นเรื่องใหม่เรื่องใหญ่ แต่กรอบของเรื่องก็ยังอยู่เพียงแค่ “วิธีเอาชีวิตรอด” เท่านั้น ไม่กว้างไกลไปถึงการคิดแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดโรคขึ้นมาอีก หรือการหยุดยั้งการทำลายธรรมชาติอันเป็นต้นตอใหญ่   ถ้ามนุษย์ยังไม่ฟังคำเตือนจาก “ส่วนล่วงหน้า” ยังใช้วิธีเดิม-คือทำลายธรรมชาติ และสร้างความบูดเน่าให้แก่โลกอย่างไม่หยุดยั้ง 

อีกไม่นานเกินรอ “เจ้านายตัวจริง” จะมาเยือน

ช่วงเวลาต่อไปนี้-หลังจาก โควิท-๑๙ อันเป็นส่วนล่วงหน้า หรือเป็นเสมือนคำเตือนนี้แล้ว มนุษย์ควรจะต้องเกิดความสำนึก แล้วใช้ความรู้ความสามารถหรือศักยภาพทั้งหมดทั้งมวลเพื่อคิดค้น “วิธีอยู่กับโลกโดยไม่ทำลายธรรมชาติ” ให้พบ แล้วหยุดทำลายธรรมชาติและคืนธรรมชาติให้แก่โลกโดยด่วน

ถ้าไม่พบวิธี หรือพบวิธี แต่ไม่ใช้ ยังทำลายธรรมชาติต่อไป คราวนี้โลกเราจะไม่ใช่แค่ “ขอบใส ในเน่า” เท่านั้น หากแต่จะเน่าหมดทั้งโลก

อย่าพูดนะครับว่า-ถึงตอนนั้นฉันก็ไม่อยู่แล้ว  ถ้ายังปฏิบัติธรรมไม่ถึงอนาคามี  ตายแล้วเกิดอีกกี่ทีก็มีหวังได้เจอครับ

คำกลอนทำนายพระยาปัตเถวน

หนึ่งฝันว่าเห็นสระปทุมา   มีหมู่กุ้งกุมภามัจฉาหอย

วารีรอบขอบใสมิใช่น้อย    กลางกลับถ่อยข้นขุ่นสนุ่นมี

พระทรงญาณบรรหารให้เห็นเหตุ   ว่าประเทศที่สุขเกษมศรี

กษัตริย์ทรงสืบพงศ์ประเพณี    เป็นบุรีที่ประชุมประชากร

จะแรมร้างว่างราเป็นป่าแขม    ทั้งคาแฝกแทรกแซมขึ้นสลอน

ทางชลวิกลกลายเป็นชายดอน    ราษฎร์จะร้อนแรมสุขทุกเดือนปี

ด้วยกรรมแรงแห่งสัตว์วิบัติเป็น    ไม่เคยเห็นก็ได้เห็นเป็นถ้วนถี่

อันน้ำกลางขุ่นข้นคือมนตรี    จะย่ำยีบีฑาประชาชน

จะรุกรานแก่ไพร่ใช้ระดม     ขู่ข่มเอาทรัพย์อยู่สับสน

ทั้งในเดือนนอกเดือนใช้เปื้อนปน    สุดจะทนที่จะทานด้วยการรุม

การหลวงแล้วไม่นานทำการนาย    พวกไพร่ราษฎร์พลัดพรายเข้าส้องสุม

จะหลบลี้หนีหน้าเข้าป่าชุม    ประคองคุมพวกเข็ญได้เย็นใจ ฯ

เอื้อเฟื้อต้นฉบับคำกลอน: อาทิตย์ รักษา

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย,  ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓,  ๑๖:๒๖

ช่วงวันเวลาที่คนไทยต้องร่วมกันให้กำลังใจหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ของไทยและของโลก

ทำนายปัตถเวน - คำทำนายที่โคตรแม่น (ตอน ๑) (ตอน ๒),  (ตอน ๓) (ตอน ๔) (ตอน ๕) (ตอน ๖), (ตอน ๗) (ตอน ๘) (ตอน ๙) (ตอน ๑๐) (ตอน ๑๑) (ตอน ๑๒),   (ตอน ๑๓) (ตอน ๑๔) (ตอน ๑๕) (ตอน ๑๖) (ตอน ๑๗) (ตอน ๑๘) (ตอน ๑๙) (ตอน ๒๐) (ตอน ๒๑) (ตอน ๒๒) (ตอน ๒๓)











Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: