วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2564

ธรรมของผู้ล่วงพ้นศัตรู (คาถารากษส)

"ยสฺเสเต  จ  ตโย ธมฺมา,  วานรินฺท ยถา ตว;  ทกฺขิยํ สูริยํ ปญฺญา, ทิฏฺฐํ โส อติวตฺตตีติ ฯ  ดูกรพระยาวานร ผู้ใดมีธรรม ๓ ประการนี้ คือ ความขยัน ความแกล้วกล้า ปัญญาเหมือนท่าน ผู้นั้นย่อมล่วงพ้นศัตรูได้"

ตโยธรรมชาดกอรรถกถา

พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารทรงปรารภการตะเกียกตะกายจะฆ่าพระองค์นั่นแหละตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺเสเต จ ตโย ธมฺมา ดังนี้.  ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระเทวทัตบังเกิดในกำเนิดวานร ควบคุมฝูงอยู่ในหิมวันต์ประเทศ เมื่อลูกวานรที่อาศัยตนเติบโตแล้ว ก็ขบพืชของลูกวานรเหล่านั้นเสียสิ้น เพราะกลัวว่า วานรเหล่านี้จะแย่งคุมฝูง. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ก็อาศัยวานรนั้นแหละถือปฏิสนธิ ในท้องของนางวานรตัวหนึ่ง. ครั้นนางวานรรู้ว่า ตั้งครรภ์ เพื่อจะถนอมครรภ์ของตนก็ได้ไปสู่เชิงเขาตำบลอื่น พอท้องแก่ ครบกำหนดก็คลอดพระโพธิสัตว์.

พระโพธิสัตว์เจริญวัย ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลัง วันหนึ่งถามมารดาว่า „แม่จ๋า ใครเป็นพ่อของฉัน“. มารดาตอบว่า „พ่อคุณ บิดาของเจ้าคุมฝูงอยู่ที่ภูเขาลูกโน้น“. ลูกลิงอ้อนวอนว่า „แม่พาฉันไปหาพ่อเถิด“. „ลูกจ๋า เจ้าไม่อาจเข้าใกล้พ่อของเจ้าได้ เพราะพ่อของเจ้าคอยขบพืชของลูกวานรที่อาศัยตนเกิดเสียหมด เพราะกลัวจะแย่งคุมฝูง“. ลูกวานรกล่าาว่า „แม่จ๋า พาฉันไปเถิด ฉันจักรู้ (อนาคตของตนเอง)“. นางจึงพาพระโพธิสัตว์มายังสำนักของวานรผู้เป็นพ่อ. วานรนั้นเห็นลูกของตนแล้ว ก็คิดว่า „เมื่อเจ้านี่เติบโตจักไม่ยอมให้เราคุมฝูง ต้องฆ่ามันเสียบัดนี้ทีเดียว, เราจักทำเป็นเหมือนสวมกอดมันแล้วก็บีบให้แน่นให้ถึงสิ้นชีวิตให้จงได้ „, จึงกล่าวว่า „มานี่เถิดลูก เจ้าไปไหนเสียนมนานจนป่านนี้“ ดังนี้แล้ว ทำเป็นเหมือนกอดรัดพระโพธิสัตว์ รัดจนแน่น. ก็พระโพธิสัตว์มีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง จึงบีบรัดตอบ. ครั้งนั้น กระดูกทุกชิ้นส่วนของวานรนั้น ถึงอาการจะแตกแยก. 

ลำดับนั้น วานรผู้เป็นพ่อ เกิดวิตกว่า „ไอ้นี่เติบโตขึ้นต้องฆ่าเรา เราต้องหาอุบายอะไร รีบฆ่ามันเสียก่อน“ แต่นั้นก็คิดไว้ว่า „ไม่ไกลจากนี้ มีสระที่มีผีเสื้อน้ำสิงอยู่ เราจักให้ผีเสื้อน้ำกินมันเสียที่สระนั้น“, แล้วจึงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า „ลูกเอ๋ย พ่อแก่แล้วจักมอบฝูงให้เจ้า วันนี้จะตั้งเจ้าเป็นหัวหน้า ที่ตรงโน้นมีสระอยู่ในสระนั้น ดอกโกมุท ๒ ดอกอุบล ๓ ดอกปทุม ๕ ดอกกำลังบาน ไปเถิด ไปเอาดอกไม้มาจากสระนั้น“. พระโพธิสัตว์ รับคำว่า „ดีละพ่อ ฉันจักไปนำมา“ แล้วก็ไป แต่ยังไม่ผลีผลามลงไปตรวจดูรอยรอบ ๆ สระ เห็นแต่รอยลงเท่านั้น ไม่เห็นรอยขึ้นก็รู้ว่า „อันสระนี้ต้องมีรากษสยึดครองแน่นอน พ่อเราไม่อาจฆ่าเราด้วยตน จักหวังให้รากษสเคี้ยวกินเราเสีย เราจักไม่ลงสระ นี้และต้องเก็บดอกไม้ให้ได้ด้วย“ แล้วเดินไปหาที่ซึ่งไม่มีน้ำ ไปได้ ๒ ดอกทีเดียว โดดไปลงฝั่งโน้น โดดจากฝั่งโน้นมาลงฝั่งนี้ ก็คว้าได้อีก ๒ ดอกด้วยอุบายนั้นแหละ.  ด้วยวิธีนี้พระโพธิสัตว์เก็บดอกไม้ได้เป็นกองทั้งสองฝั่งสระและไม่ต้องลงสู่สถานอันอยู่ในอาญาของรากษส. 

ครั้นพระโพธิสัตว์เห็นว่า ไม่สามารถจะเก็บได้มากกว่า นี้ ก็รวบรวมดอกไม้กองไว้ที่เดียว. ครั้งนั้น รากษสดำริว่า „อัจฉริยบุรุษ มีปัญญาอย่างนี้ เราไม่เคยเห็นเลยตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ดอกไม้ก็เก็บได้ตามปรารถนาและไม่ต้องลงสู่สถานที่อันอยู่ในอาญาของเราอีกด้วย“ จึงระเบิดน้ำโผล่ขึ้นจากน้ำเข้าไปหาพระโพธิสัตว์กล่าวว่า „พานรินทร์ในโลกนี้ผู้ใดมีธรรม ๓ ประการ ผู้นั้นย่อมครอบงำปัจจามิตรได้ ชะรอยภายในตัวของท่านจักมีธรรมทั้งนั้นครบทุกประการเป็นแน่“ เมื่อจะชื่นชมพระโพธิสัตว์ จึงกล่าวคาถานี้ว่า :- „ธรรม ๓ ประการเหล่านี้คือความขยัน ความกล้าวหาญ และปัญญา มีแก่บุคคลใด เหมือนมีแก่ท่าน, บุคคลนั้นย่อมล่วงพ้นศัตรูได้“. 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทกฺขยํ ได้แก่ ความเป็นผู้มีความขยันขันแข็ง. บทนี้เป็นชื่อของความเพียรอย่างสูง ที่ประกอบพร้อมมูลด้วยปัญญา อันรู้จักกำจัดภัยที่มาประจวบเข้า.  บทว่า สูรยํ ได้แก่ ความเป็นผู้กล้าหาญ. บทนี้เป็นชื่อของความเป็นผู้ไม่มีความพรั่นพรึง.  บทว่า ปญฺญา นี้ เป็นชื่อของความรู้อุบาย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความปรากฏผล. 

รากษสนั้นชมเชยพระโพธิสัตว์ด้วยคาถานี้อย่างนี้แล้วก็ถามว่า „ท่านเก็บดอกไม้เหล่านี้ไปทำไม ?“ พระโพธิสัตว์ตอบว่า „พ่อของเราปรารถนาจะตั้งเราเป็นผู้นำฝูง เราเก็บไปเพราะเหตุนั้น“. รากษสพูดว่า „อุดมบุรุษเช่นท่านไม่น่าจะนำดอกไม้ไป, เราจักนำไปให้“ แล้วหอบดอกไม้เดินตามหลังพระโพธิสัตว์ไป.  ครั้งนั้น บิดาของพระโพธิสัตว์เห็นแต่ไกลแล้ว รำพึงว่า „เราส่งมันไป หมายว่า จักให้เป็นเหยื่อของรากษส, บัดนี้ มันกลับใช้ให้รากษสถือดอกไม้ตามมา, คราวนี้ เราฉิบหายแล้ว“ เลยหัวใจแตก เจ็ดเสี่ยง สิ้นชีวิตในที่นั้นเอง. ฝูงวานรที่เหลืออยู่ ประชุมกันยกพระโพธิสัตว์ให้เป็นราชาผู้นำฝูง.   แม้พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า วานรนายฝูงในครั้งนั้นได้เป็นพระเทวทัตในครั้งนี้ ส่วนบุตรของลิงผู้เป็นจ่าฝูงได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: