วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2564

มาตุคามกับเวลาสูญสิ้นของพุทธศาสนา

มาตุคามกับเวลาสูญสิ้นของพุทธศาสนา

นักศึกษาที่เรียนพระอภิธรรมส่วนมากต้องเรียนพื้นฐานของพุทธศาสนาก่อน เพราะทราบดีว่า "อภิธรรม" เป็นธรรมที่เข้าใจยาก มีแต่รูป นาม พระพุทธองค์มิได้ตั้งใจจะสอนมนุษย์ เพียงแต่ต้องการนำอภิธรรมไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์เท่านั้น ส่วนทำไมอยู่ๆ มนุษย์ถึงได้มีโอกาสรู้จักพระอภิธรรม ที่มาที่ไปนั้นยาวขอไม่กล่าวในที่นี้ จะขอกล่าวเรื่องมาตุคามก่อนครับ

มาตุคาม หมายถึง ผู้หญิง ส่วน การสูญสิ้นหรืออันตรธานของพุทธศาสนานั้น  พระพุทธองค์ได้แสดงไว้เองครับ โดยแสดงว่าอีกห้าพันปีต่อไปพุทธศาสนาจะค่อยๆสูญจาก “ปลายไปหาต้น” คือจากของยากที่สุดก่อน มี ๕ ประการดังนี้  

๑.) ปฏิเวธอันตรธาน คือ มรรค ผล นิพาน ที่เป็นผลจากการปฏิบัติจะไปก่อน  

๒.) ปฏิบัติอันตรธาน คือ การเจริญสติปัฏฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน จะสูญไม่มีใครทำ หรือทำกันบ้างแต่ย่อหย่อนไม่เข้าถึงผล ปัจจุบันคนจะไปทำสมาธิกันมาก สมาธิที่ทำก็เข้าไม่ถึง “อัปปนาฌาน” อันจะยกขึ้นเป็นบาทของวิปัสสนาได้ ส่วนวิปัสสนาเองก็เข้าใจคลาดเคลื่อน.  คำว่าปฏิบัติ ตามข้อนี้ หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา นะครับ ส่วน ปฏิบัติจะอันตรธานก็ต่อเมื่อ ภิกษุเหลือองค์สุดท้ายในโลก และภิกษุองค์นั้นต้องอาบัติปาราชิก จึงจะถือว่าการปฏิบัติสูญสิ้น เพราะถือว่าไม่มีภิกษุเหลืออยู่แล้ว จึงจะเป็นปฏิบัติอันตรธาน (พระพุทธองค์บัญญัติปาฏิโมกข์มาเฉพาะแก่พระภิกษุเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับสามเณร ดังนั้นในข้อนี้ไม่ได้หมายถึงสามเณร หมายถึงพระภิกษุเท่านั้น)

๓.) ปริยัติอันตรธาน คือ คนจะค่อยๆเลิกเรียนพระไตรปิฎกกัน เริ่มจากพระอภิธรรมนี่แหละครับ จากนั้นก็พระสูตร และสุดท้ายพระวินัยก็จะไม่มีใครเรียน เสื่อมกันไปตามลำดับ  

๔.) ลิงคอันตรธาน คือ ผลจากข้อที่แล้ว พระไม่เรียนพระวินัย ต่อไปพระก็ไม่ใช่พระ เป็นพระแต่ในนาม พระก็ไม่ทรงบาตรครองจีวร ประกอบกับอนาคตต่อไปข้าวยากหมากแพงต้องแก่งแย่งกันทำมาหากิน ต่างคนต่างแสวงหา ห่วงปากห่วงท้อง พระภิกษุสงฆ์ก็ต้องไปทำไร่ไถ่นา มีเมีย มีลูก จีวรก็ไม่มีพระผู้ใหญ่สอนให้นุ่งห่ม เอาเวลาไปทำมาหากินหมด ก็เหลือแต่เอาผ้าเหลืองห้อยหูพอให้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นภิกษุ เรียกว่าโคตรภูภิกษุ คือ เป็นพระแต่ในนาม โดยโคตรโดยชื่อ แต่การปฏิบัติไม่เป็นพระสงฆ์  

๕.) ธาตุอันตรธาน คือ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์จะมาประชุมกัน ลุกไหม้เป็นการประชุมเพลิงครั้งสุดท้าย (มนุษย์ไม่เห็นแต่เทวดาเห็น) เป็นการอวสานของพระพุทธศาสนา ก็ประมาณอีก ๒,๔๔๔ ปีนับจากนี้.  เพราะพุทธศาสนาเป็นวิมุตติรสสวนทางกับกิเลส กิเลสคนนับวันจะมาก จะเอาอยู่ได้อย่างไรครับ

ในสมัยนั้นพระพุทธองค์ได้มีพุทธพยากรณ์ว่าหลังจากที่ปรินิพานไปแล้ว พุทธศาสนาจะอยู่ต่อได้อีกแค่ ๕,๐๐๐ ปี ที่มามีดังนี้ครับ.  พระอานนท์ไปถามพระพุทธเจ้าว่า มาตุคามไปนิพพานได้หรือไม่ พระพุทธองค์ทรงตอบว่าได้ แต่มีเนื้อความเป็นแบบนี้ครับ.  

“อานนท์ ถ้ามาตุคามไม่บวช พระสัทธรรมเราจะตั้งอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่ถ้าให้มาตุคามบวช พระสัทธรรมจะตั้งอยู่ได้แค่ ๕๐๐ ปี".  พระอานนท์จึงถามต่อว่า (เมื่อมาตุคามนิพพานได้) แล้วทำไมไม่ให้มาตุคามบวช พระพุทธองค์จึงยอมให้มาตุคามบวชได้ แต่ต้องบวชตามเงื่อนไขที่พระพุทธองค์บัญญัติ ด้วยการรับคุรุธรรม ๘ ประการ นางประชาบดีโคตรมี จึงได้บวชเป็นภิกษุณีองค์แรก

ทรงบัญญัติคุรุธรรม ๘ ประการ ไว้ให้ยากและเป็นข้อปฏิบัติที่หนักเช่น ภิกษุอาบัติปาราชิกแค่ ๔ ข้อ แต่ภิกษุณี ๘ ข้อ หรือ เรื่องประเภทแห่งศีล ภิกขุศีล มีสิกขาบท ๒๒๗ บท แสดงไว้ในภิกขุปาฏิโมกข์ แต่ ภิกขุณีศีล มีสิกขาบท ๓๑๑ บท ที่แสดงไว้ในภิกขุณีปาฏิโมกข์ หรือ ภิกษุณีไม่ว่าจะบวชมากี่พรรษาก็ตาม ก็จะต้องไหว้ภิกษุบวชใหม่วันเดียว (ทรมานจิตใจกันมาก ความเห็นส่วนตัว) หรือ ห้ามภิกษุณีออกปากขอผ้าห่มหนาในฤดูหนาว ฯลฯ นับว่าคุรุธรรมของภิกษุณีไม่ได้มีแต่อาบัติปาราชิกอย่างเดียว แต่มีข้อปฏิบัติอื่นๆอีก ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่ยากและหนักพ่วงอยู่ด้วย ลองศึกษาได้จากคัมภีร์ภิกขุนีวิภังค์.  ปัจจุบันในส่วนของเถรวาท ภิกษุณีไม่มีแล้วครับ.  เหตุผลก็คือพระพุทธองค์ไม่สนับสนุนและล้อมกันไม่ให้มาตุคามบวช เพราะบวชแล้วอายุของพุทธศาสนาจะสั้น เนื่องจากภิกษุณีมีโอกาสจะใกล้ชิดกับภิกษุ เป็นอันตราย.  ตัวอย่างเช่น ในคัมภีร์มหาวิภังค์ เรื่อง ปาจิตติยกัณฑ์ ว่าด้วยอาบัติ วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๗ ห้ามภิกษุแสดงธรรมแก่มาตุคามสองต่อสองเกิน ๖ คำ. ไม่เรียกว่าล้อมกันแล้วจะเรียกอะไรหล่ะครับ หรือไม่ต้องดูอื่นดูไกลสมัยนี้มีให้เห็น มาตุคามใกล้ชิดพระดัง พากันหนีบวชไปแล้ว ความจริงเขาให้พุทธบริษัทศรัทธาในพระสัทธรรม ไม่ได้ให้ไปศรัทธาในตัวบุคคล ก็ไปศรัทธาบุคคลกันเองเพราะเห็นว่าสงบระงับเทศน์ดี จะไปโทษเขาก็ไม่ได้

ส่วนเหตุผลที่ทรงบัญญัติคุรุธรรม ๘ ประการ กำกับภิกษุณีไว้ก็เพื่อต้องการให้พระสัทธรรมของท่านอยู่ได้ถึง ๑,๐๐๐ ปี.  ขอให้สังเกตระยะเวลา ๕,๐๐๐ ปี , ๑,๐๐๐ ปี และ ๕๐๐ ปี หมายถึงแบบนี้ครับ.  พระพุทธองค์ตรัสว่าถ้ากำหนดคุรุธรรมสำหรับภิกษุณี ๘ ประการ พระสัทธรรมของท่านจะอยู่ได้ถึง ๑,๐๐๐ ปี หมายถึงจริงๆแล้วพุทธศาสนาจะมีอายุ ๕,๐๐๐ ปี แต่ที่ตรัสกับพระอานนท์เรื่อง ๑,๐๐๐ ปี เป็นกรณีว่าต้องมีข้อแม้ให้กำหนดคุรุธรรม ๘ ประการสำหรับภิกษุณีซึ่งยากๆนี่แหละครับ ถึงจะอยู่ได้ถึง พันปี และพันปีที่ว่านั้นหมายถึง เฉพาะพันปีแรกที่มีพระอรหันต์ประเภทที่ได้ปฏิสัมภิทาเท่านั้นนะครับ

ส่วนระยะพันปีแต่ละช่วงแบ่งได้แบบนี้ครับ  

ก.) พันปีแรก จะมีพระอรหันต์ ที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ และได้อภิญญาด้วย  

ข.) พันปีที่สอง จะเหลือแต่ พระอรหันต์ประเภท สุขวิปัสสก คือพวกที่เจริญแต่วิปัสสนาล้วนๆ 

ค.) พันปีที่สาม จะเหลือแค่ พระอนาคามี  

ง.) พันปีที่สี่ จะเหลือแค่ พระสกทาคามี  

จ.) พันปีที่ห้า จะเหลือแค่ พระโสดาบัน  

ฉ.) พ้นห้าพันปีไปแล้ว พุทธศาสนาก็จะหมดสิ้นไป.  ดังนั้นเมื่อมีมาตุคามมาบวชเป็นภิกษุณี และถูกบวชด้วยบัญญัติคุรุธรรม ๘ ประการ จึงสามารถยังให้พุทธศาสนาอยู่ได้ถึง ๑,๐๐๐ ปี ตามความหมายของพระพุทธองค์ นั้นหมายถึงเฉพาะ จะมีพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทา อยู่ได้ในพันปีแรก ส่วนพุทธศาสนาก็จะมีอายุ ห้าพันปี ตามทำนาย แล้วก็จะหมดไป

อธิบายอีกทีว่า ถ้าภิกษุณีบวช โดยไม่รับคุรุธรรม ๘ ประการ พุทธศาสนาจะอยู่ได้เพียง ห้าร้อยปี แต่นี่พระพุทธองค์ให้ภิกษุณีบวชโดยให้รับคุรุธรม ๘ ประการ พุทธศาสนาจึงอยู่ได้พันปี (๕,๐๐๐ ปี) นั่นเอง.  และที่ท่านแสดงหมายถึงเฉพาะโลกมนุษย์ ไม่เกี่ยวกับเทวดา หรือ พรหม นะครับ เพราะบนนั้นเขาก็เจริญมหาสติปัฏฐานกันต่อเนื่องไป ไม่เหมือนในภพมนุษย์ที่มีแต่เสื่อมลง เสื่อมลง.  หากพิจารณากันให้ดีปัจจุบัน ไม่มีพระอรหันต์เหลืออยู่แล้วครับ.  

ที่เสื่อม เสื่อมเพราะ "มิจฉาทิฏฐิ" ครับ ตัวนี้เป็น "เจตสิก" ที่เข้าไปปรุงแต่งจิต เกิดขึ้นเมื่อใดแล้ว จะทำให้ความเห็นผิดไปจากความจริงของธรรมชาติ โดยสภาวะก็คือ  

๑.) ย่อมยึดถืออยู่ในสภาวะที่ไม่เป็นความจริง เป็นลักษณะ  

๒.) ถือเอาสภาวะที่ผิดจากความเป็นจริง เป็นกิจ  

๓.) ยึดถือความเห็นผิด เป็นผล 

๔.) ไม่อยากเห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็นเหตุใกล้ให้เกิด (คำว่าไม่อยากเห็นพระอริยเจ้าหมายถึงการไม่เอาหรือปฏิเสธ อริยสัจ ๔ ไม่ได้หมายถึงบุคคล).  อ่านมาถึงตรงนี้อยากเรียนให้มาตุคามทั้งหลาย ตามที่จดบันทึกในชั้นเรียน ทราบว่า  

๑.) ผู้หญิงตามเหตุปัจจุบัน ถือว่ามีกรรมมากกว่าผู้ชาย เพราะอย่างน้อยที่เห็นๆคือต้องรับทุกข์เวทนาทุกเดือนเมื่อมีระดู   

๒.) เหตุที่ปฏิสนธิมาเป็นผู้หญิง เพราะชาติปางก่อนประกอบกุศลกรรมมีกำลังอ่อน เป็น ทุพฺพลกุสลกมฺม ประกอบกรรมด้วยสัทธาปสาทก็จริง แต่เต็มไปด้วยความหวั่นไหว (อวิสทฺธาการ) หรือเป็นผลมาจากละเมิด กาเมสุมิจฉาจาร  

๓.) เพราะความที่เห็นทุกข์นี้ จึงไม่สนุกสนานร่าเริงแบบชายในภพปัจจุบัน กลับไปสนใจในการแก้เหตุแห่งทุกข์มากกว่าผู้ชาย ไปหาดูเถอะครับ ที่โรงเรียนสอนพระอภิธรรมต่างๆ ไม่ว่า วัดธาตุทอง วัดสามพระยา มีแต่ผู้หญิงเรียนทั้งนั้น หาผู้ชายน้อยครับ และผู้ชายส่วนน้อยนั้นก็เป็นพระสงฆ์ครับ.  ส่วนที่ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายครับ อันนี้ผมขอยืนยัน.  

๔.) พระพุทธองค์เองก็ตรัสรับรองว่า มาตุคามสำเร็จเป็นอรหัตมรรค อรหัตผลได้ ไม่ได้ในชาตินี้ก็สะสมไว้เป็นปัจจัยในชาติต่อๆไปได้ แต่ต้องไปได้ในสวรรค์ชั้นสูงหรือพรหมนะครับ.  ที่กล่าวเช่นนี้เพราะตามหลักฐานถือว่าปัจจุบันไม่มีพระอรหันต์ แต่ถ้าผู้หญิงตายแล้วไปเป็นเทวดา ไม่ว่า เทพบุตร หรือ นางฟ้า ก็ไปปฏิบัติมหาสติปัฏฐานต่อได้ ส่วนตายแล้วไปเป็นพรหม บางพวก ก็ปฏิบัติมหาสติปัฏฐานต่อได้ (พรหมไม่มีเพศ)  

๕.) การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็เพื่อพิจารณา นาม รูป ที่ปรากฎขึ้นในอารมณ์ปัจจุบันเท่านั้น โดยต้องการทำลายความรู้สึกว่า เป็นเรา รูปที่พิจารณา เป็นเพียง อริยาบท นั่ง ยืน เดิน นอน เท่านั้นไม่ได้พิจารณาว่าเป็นตัวเรา เป็นผู้ชาย หรือ เป็นผู้หญิง ความสำคัญอยู่ที่การมีโยนิโสมนสิการ ในการพิจารณาอารมณ์เสมอว่า มีหน้าที่ดู รูป นาม เท่านั้น และเมื่อจะเปลี่ยนอารมณ์ หรือ เปลี่ยนอริยาบท จะต้องรู้เหตุที่จะต้องเปลี่ยนนั้น เปลี่ยนเพื่ออะไร.  ดังนั้น เพศ จึงมิใช่ปัญหาอุปสรรคในการเจริญสติปัฏฐาน (ความเห็นส่วนตัว)

๖.) ผู้ที่นำพระอภิธรรมเข้ามาสอนในประเทศไทยเป็นครั้งแรกตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๗ รวมทั้งก่อตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนา ที่วัดระฆังโฆสิตาราม วัดสามพระยา วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดป่าธรรมโสภณลพบุรี สำนักนาฬิกาวัน อยุธยา มูลนิธิสำนักปฏิบัติธรรมบุณย์กัญจนาราม และ มูลนิธิ แนบ มหานีรานนท์.  

สถานที่ดังกล่าวมาทั้งหมด ตั้งขึ้นจัดสอนคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ให้แก่บุคคลทั่วไป และ พระสงฆ์จากวัดต่างๆที่เดินทางมาเรียนพระอภิธรรม และบุคคลที่กล่าวถึงนั้น ท่านได้มรณะไปแล้วเมื่อปี ๒๕๒๖ ที่สำคัญท่านเป็น "ฆราวาสผู้หญิง" หรือ "มาตุคาม" นี่แหละครับ

ขอให้ การอ่าน การศึกษา ของทุกท่านตามกุศลเจตนา ได้เป็นพลวปัจจัย เพิ่มพูลกำลังสติ กำลังปัญญา ให้สามารถนำตนให้พ้นจากวัฏฏทุกข์ด้วยครับ

ณัฏฐ สุนทรสีมะ


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: