วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564

ว่าด้วยวางใจคนที่ชอบใจ

ว่าด้วยวางใจคนที่ชอบใจ

"ยสฺมึ  มโน  นิวิสติ,  จิตฺตญฺจาปิ  ปสีทติ;   อทิฏฺฐปุพฺพเก  โปเส,  กามํ  ตสฺมิมฺปิ  วิสฺสเสติ ฯ   ใจฝังอยู่ในผู้ใด แม้จิตก็เลื่อมใสในผู้ใด ถึงเป็นคนที่ไม่เคยเห็นกันเลย ก็วางใจในผู้นั้นได้โดยแท้"

สาเกตชาดกอรรถกถา

พระศาสดาทรงอาศัยเมืองสาเกต ประทับ ณ พระวิหารอัญชนวันทรงปรารภพราหมณ์ผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺมึ มโน นิวีสติ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า แวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุ เสด็จเข้าเมืองสาเกตเพื่อบิณฑบาต พราหมณ์แก่ชาวเมืองสาเกตุหนึ่ง กำลังเดินไปนอกพระนคร เห็นพระทศพลระหว่างประตู ก็หมอบลงแทบพระยุคลบาท ยึดข้อพระบาททั้งคู่ไว้แน่นพลางกราบทูลว่า „พ่อมหาจำเริญ ธรรมดาว่า บุตร ต้องปรนนิบัติ มารดาบิดาในยามแก่มิใช่หรือ? เหตุไรพ่อจึงไม่แสดงตนแก่เราตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ เราเห็นต่อก่อนแล้ว แต่พ่อจงมาพบกับมารดาแล้วพาพระศาสดาไปเรือนของตน“. พระศาสดาเสด็จไปที่เรือนของพราหมณ์ ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาจัดไว้พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. ฝ่ายพราหมณีได้ข่าวว่า „บัดนี้บุตรของเรามาแล้ว ก็มาหมอบแทบบาทยุคลของพระบรมศาสดาแล้วร่ำไห้ว่า „พ่อคุณทูลหัว พ่อไปไหนเสียนานถึงปานนี้, ธรรมดาบุตรต้องบำรุงมารดาบิดายามแก่มิใช่หรือ?“ แล้วบอกให้บุตรธิดา พากันมาไหว้ด้วยคำว่า „พวกเจ้าจงไหว้พี่ชายเสีย“. พราหมณ์ทั้งสองผัวเมียดีใจ ถวายมหาทาน.

พระศาสดาครั้นเสวยเสร็จแล้ว ก็ตรัสชราสูตรแก่พราหมณ์แม้ทั้งสองเหล่านั้น. ในเวลาจบพระสูตรคนแม้ทั้งสองก็ตั้งอยู่ในพระอนาคามิผล.  พระศาสดาเสด็จลุกจากอาสนะเสด็จไป พระวิหารอัญชนวันตามเดิม. พวกภิกษุนั่งประชุมกันในโรงธรรม สนทนากันขึ้นว่า „ผู้มีอายุทั้งหลายพราหมณ์ก็รู้อยู่ว่า พระบิดาของพระตถาคต คือพระเจ้าสุทโธทนะพระมารดา คือพระนางมหามายา, ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ ก็ยังบอกพระตถาคตกับนางพราหมณีว่า บุตรของเรา, ถึงพระศาสดาก็ทรงรับข้อนี้เป็นเพราะเหตุไรหนอ ?“ 

พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นแล้วตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์แม้ทั้งสองเรียกบุตรของตนนั่นแหละว่า บุตร“ แล้วทรงนำอดีต นิทานมาตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์นี้ในอดีตกาลได้เป็นบิดาของเราตลอด ๕๐๐ ชาติ, เป็นอาของเรา ๕๐๐ ชาติ, เป็นปู่ของเรา ๕๐๐ ชาติ ติดต่อกันไม่ขาดสาย, แม้นางพราหมณีนี้เล่าก็ได้เป็นมารดาของเรา ๕๐๐ ชาติ เป็นน้า ๕๐๐ ชาติ เป็นย่า ๕๐๐ ชาติ ติดต่อกันไม่ขาดสายเลยดุจกัน, เราเจริญแล้วในมือของพราหมณ์ ๑,๕๐๐ ชาติ จำเริญแล้วในมือของนางพราหมณี ๑,๕๐๐ ชาติอย่างนี้“ เป็นอันทรงตรัสถึงชาติในอดีต ๓,๐๐๐ ชาติ ครั้นตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจึงตรัส พระคาถานี้ว่า :- „ใจจดจ่ออยู่ในผู้ใด แม้จิตเลื่อมใสในผู้ใด บุคคลพึงคุ้นเคยสนิทสนมแม้ในผู้นั้น ทั้ง ๆ ที่ ไม่เคยเห็นกันมาก่อน“.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺมึ มโน นิวิสติ ความว่า ใจจดจ่ออยู่ในบุคคลใด ผู้เพียงแต่เห็นกันเท่านั้น.  บทว่า จิตฺตญฺจาปิ ปสีทติ ความว่า อนึ่งจิตย่อมเลื่อมใสอ่อนโยน ในบุคคลใด ผู้พอเห็นเข้าเท่านั้น.  บทว่า อทิฏฺฐปุพฺพเก โปเส ความว่า ในบุคคลแม้นั้นถึงในยามปกติ จะเป็นบุคคลที่ไม่เคยเห็นกันเลยในอัตภาพนั้น. บทว่า กามํ ตสฺมึปิ วิสฺสเส มีอธิบายว่า ย่อมคุ้นเคยกันโดยส่วนเดียว คือถึงความคุ้นกันทันที แม้ในบุคคลนั้น ด้วยอำนาจความรักที่เคยมีในครั้งก่อนนั่นเอง.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาอย่างนี้แล้วทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า พราหมณ์และพราหมณีในครั้งนั้นได้มาเป็นพราหมณ์และนางพราหมณีคู่นี้ นั่นแล ฝ่ายบุตรได้แก่ เราตถาคตนั่นเอง ฉะนี้แล.

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: