วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2564

ว่าด้วยธรรมดาหญิง (คาถาสี่คำทำให้พารอด)


"โกธนา อกตญฺญู จ,  ปิสุณา มิตฺตเภทิกา;  พฺรหฺมจริยํ จร ภิกฺขุ, โส สุขํ น วิหาหสีติฯ  ธรรมดาว่าหญิงเป็นคนมักโกรธ ไม่รู้จักคุณ ชอบส่อเสียด ชอบยุยงให้แตกกัน, ดูกรภิกษุ ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด ท่านจะไม่เสื่อมจากสุข"

ตักกชาดกอรรถกถา

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุผู้กระสันนั่นแหละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า โกธนา อกตญฺญู จ ดังนี้.

พระศาสดาตรัสถามว่า „จริงหรือภิกษุที่เขาว่า เธอกระสันแล้ว ?“ เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า „จริงพระเจ้าข้า“ ตรัสว่า „ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย เป็นคนอกตัญญู ประทุษร้ายมิตร เหตุไรเธอจึงกระสันเพราะอาศัยหญิงเหล่านั้น“ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-  ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี  พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษี สร้างอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ยังสมาบัติและอภิญญาให้เกิดแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่ความยินดีในฌาน. 

ในสมัยนั้น ธิดาของท่านเศรษฐี ในกรุงพาราณสีชื่อว่าทุษฐกุมารี เป็นหญิงดุร้ายหยาบคาย มักด่า มักตี ทาสและกรรมกร. ครั้นอยู่มาวันหนึ่งคนที่เป็นบริวาร ชวนนางไปว่า „จักเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา“. ขณะเมื่อมนุษย์เหล่านั้นเล่นน้ำกันอยู่นั่นแหละ เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้จะอัษฎงค์. เมฆฝนก็ตั้งเค้าขึ้น. พวกมนุษย์ทั้งหลายเห็นเมฆฝนแล้ว ก็รีบวิ่งแยกย้ายกันไป. พวกทาสกรรมกรของธิดาท่านเศรษฐีพูดกันว่า „วันนี้พวกเราควรแก้เผ็ดนางตัวร้ายนี้“ แล้วทิ้งนางไว้ในน้ำนั่นแล พากันขึ้นไปเสีย. ฝนก็ตกลงมา แม้ดวงอาทิตย์ก็อัษฎงค์. เกิดความมืดมัวทั่วไป. พวกทาสและกรรมกรเหล่านั้นเว้นแต่ธิดาท่านเศรษฐีคนเดียว ไปถึงเรือนเมื่อคนทั้งหลายพูดว่า „ธิดาท่านเศรษฐีไปไหนเล่า ?" ก็กล่าวว่า „นางขึ้นจากแม่น้ำคงคาก่อนหน้าแล้ว, เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพเจ้าจึงไม่รู้ว่า นางไปไหน“. 

แม้พวกญาติพากันค้นหาก็ไม่พบ. ธิดาท่านเศรษฐีร้องดังลั่น ลอยไปตามน้ำ ถึงที่ใกล้บรรณศาลาของพระโพธิสัตว์ เมื่อเวลาเที่ยงคืน. พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงของนางก็คิดว่า „นั่นเสียงหญิง ต้องช่วยเหลือนาง“พลางถือคบหญ้าเดินไปสู่ฝั่งแม่น้ำ เห็นนางแล้ว ก็ปลอบว่า „อย่ากลัว อย่ากลัว“ ด้วยมีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรงว่ายน้ำไปช่วยนางขึ้นได้ พาไปอาศรม ก่อไฟให้นางผิง ครั้นนางค่อยสร่างหนาวแล้ว ก็จัดหาผลไม้น้อยใหญ่ที่อร่อย ๆ มาให้พลางถามนางขณะที่บริโภคผลไม้นั้น ๆ ว่า „นางอยู่ที่ไหนและทำไมถึงตกน้ำลอยมา ?“. นางก็เล่าเรื่องราวนั้นให้ฟัง.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวกะนางว่า „เธอพักเสียที่นี่แหละ“ แล้วจัดให้นางพักในบรรณศาลา ตนพักอยู่กลางแจ้ง สองสามวันแล้วกล่าวว่า „บัดนี้ เธอจงไปเถิด“. เศรษฐีธิดาคิดว่า „เราจักทำดาบสนี้ถึงสีลเภทแล้วชวนไปด้วยให้จงได้“ ดังนี้แล้ว ไม่ยอมไป.  ครั้นเวลาล่วงผ่านไป ก็แสดงกระบิดกระบวนเล่ห์มายาหญิง ทำให้พระดาบสศีลขาด เสื่อมจากฌาน. ดาบสก็ชวนนางอยู่ในป่านั่นเองครั้งนั้น นางกล่าวกะดาบสว่า „ข้าแต่ท่านเจ้า เราทั้งสองจักอยู่ในป่าทำไม เราสองคนพากันไปสู่ยานมนุษย์เถิด“. 

ดาบสก็พานางไปถึงบ้านชายแดนตำบลหนึ่ง ประกอบอาชีพด้วยการขายเปรียงเลี้ยงนาง. เพราะท่านดาบสขายเปรียงเลี้ยงชีวิต ฝูงชนจึงขนานนามว่าตักกบัณฑิต. ครั้งนั้น พวกชาวบ้านร่วมกันให้เสบียงอาหารแก่ท่านกล่าวว่า „ท่านช่วยบอกเหตุการณ์ที่บุคคลประกอบดีหรือชั่ว ก็พวกข้าพเจ้า อยู่เสียในที่นี้เถิด“ แล้วช่วยกันสร้างกระท่อมให้อยู่ใกล้ประตูบ้าน.  ก็โดยสมัยนั้น พวกโจรพากันลงมาจากภูเขา ปล้นชนบทชายแดน วันหนึ่งพากันมาปล้น บ้านนั้นแล้วใช้ชาวชนบทนั้นแหละให้ขนข้าวของไปให้ ยึดเอาตัวนางเศรษฐีธิดา แม้นั้นไปยังที่พำนักของตนแล้วจึงปล่อยคนที่เหลือ. ส่วนนายโจรพอใจในรูปของนาง จึงทำนางให้เป็นภรรยาของตน.  พระโพธิสัตว์สอบถามว่า „หญิงชื่อนี้ไปไหนเสียเล่า ?“ แม้จะได้ฟังว่า „ถูกนายโจรยึดเอาไว้เป็นภรรยาเสียแล้ว“ ก็ยังคิดว่า „นางจักยังไม่ทิ้งเรา อยู่ในที่นั้น จักต้องหนีมาเป็นแน่ „ รอคอยนางอยู่ในบ้านนั่นเอง. 

ฝ่ายนางเศรษฐีธิดา ก็คิดว่า "เราอยู่ที่นี่เป็นสุขดี บางทีตักกบัณฑิตอาศัยเหตุไร ๆ แล้ว จะมาพาเราไปเสียจากที่นี้, เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจักเสื่อมจากความสุขนี้, ถ้ากระไร เราทำเป็นเหมือนยังอาลัยรักอยู่ ให้คนไปตามตัวมาแล้วให้เขาฆ่าเสีย“ คิดแล้วเรียกมนุษย์ผู้หนึ่งมาส่งข่าวไปว่า „ดิฉันเป็นอยู่อย่างลำบากในที่นี้ท่านตักกบัณฑิตกรุณามารับฉันไปด้วยเถิด".  

ตักกบัณฑิตสดับข่าวนั้นแล้วก็เชื่อ จึงไปที่บ้านนายโจร หยุดรอที่ประตูบ้านส่งข่าวไป. นางออกมาพบแล้วพูดว่า „ท่านเจ้าขา ถ้าเราพากันไปเดี๋ยวนี้ นายโจรจักติดตามฆ่าเราทั้งสองเสียก็ได้ เราจักไปกันในเวลากลางคืน“ พาตักกบัณฑิตมาให้บริโภค ให้ซ่อนตัวอยู่ในยุ้ง.  ตกเวลาเย็น นายโจรกลับมา กินเหล้า เมา ก็พูดว่า „ท่านเจ้าค่ะ ถ้านายเห็นศัตรูของนายในเวลานี้ นายจะพึงทำอย่างไรกะเขา“. นายโจรกล่าวว่า „เราจักกระทำเช่นนี้ ๆ“. นางจึงบอกว่า „ก็ศัตรูนั้นอยู่ไกลเสียเมื่อไรเล่า นั่งอยู่ในยุ้งข้าวนี่เอง“.  นายโจรถือพระขรรค์เดินไปที่ยุ้งข้าว เห็นตักกบัณฑิตก็จับเหวี่ยงให้ ล้มลงกลางเรือน โบยด้วยท่อนไม้ ทุบถองด้วยศอกเข่าเป็นต้นจนหนำใจ ตักกบัณฑิตถึงจะถูกโบยก็ไม่พูดถ้อยคำอะไรอย่างอื่นเลย กล่าวแต่คำว่า „ขี้โกรธ อกตัญญู ชอบส่อเสียด ประทุษร้ายมิตร“ อย่างเดียวเท่านั้น ฝ่ายโจรโบยตักกบัณฑิตแล้วก็มัดให้นอนมากินอาหารเย็นแล้วก็หลับไป ตื่นขึ้น พอฤทธิ์สุราสร่าง ก็เริ่มโบยตักกบัณฑิตอีก. 

แม้ตักกบัณฑิต ก็กล่าวแต่คำ ๔ คำ อยู่อย่างนั้น. โจรคิดว่า "ท่านผู้นี้ แม้จะถูกเราโบยอย่างนี้ ก็ไม่ยอมพูดอะไรอย่างอื่นเลย คงกล่าวแต่คำ ๔ คำ อยู่ตลอดมา เราจักถามดู“ แล้วก็ถามตักกบัณฑิตว่า "นี่แนะท่านผู้เจริญ ถึงแม้ท่านจะถูกโบยอย่างนี้ เหตุไฉน จึงกล่าวแต่คำ ๔ คำ เหล่านี้เท่านั้น“.  ตักกบัณฑิตกล่าวว่า „ถ้าเช่นนั้น จงฟัง“ แล้วกล่าวลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นว่า „เดิมข้าพเจ้าเป็นดาบสหนึ่งอยู่ในป่าได้ฌานข้าพเจ้าช่วยหญิงผู้นี้ผู้ลอยมาในแม่น้ำคงคาให้ขึ้นได้แล้ว ประคบประหงม เมื่อเป็นเช่นนี้ นางผู้นี้ ก็เล้าโลมข้าพเจ้า ทำให้เสื่อมจากฌานข้าพเจ้าต้องทิ้งป่าพานางมาเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านชายแดน, ครั้นนางส่งข่าวไปถึงข้าพเจ้าว่า "ถูกพวกโจรนำมาที่นี่ ต้องอยู่อย่างลำบาก ให้ช่วยพานางกลับไป, ทำให้ข้าพเจ้าต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของท่านในบัดนี้ ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจงกล่าวอยู่อย่างนี้“. 

โจรได้คิดว่า „หญิงคนนี้ปฏิบัติผิดถึงอย่างนี้ ในท่านผู้สมบูรณ์ด้วยคุณ มีอุปการะถึงอย่างนี้ มันคงทำอุปัทวันตรายอะไร ๆ ให้แก่เราก็ได้ ต้องฆ่ามันเสีย“.  นายโจรปลอบให้ตักกบัณฑิต "เบาใจ ปลุกนางฉวยพระขรรค์ออกมาพูดว่า „เราจักฆ่าชายผู้นี้ ที่ประตูบ้าน" เดินไปนอกบ้านกับนาง พลางบอกให้นางจับมือท่านตักกบัณฑิตไว้ด้วยคำว่า „จงยึดมือชายผู้นี้ไว้“ แล้วชักพระขรรค์ทำเป็นเหมือนจะฟันท่านตักกบัณฑิต กลับฟันนางขาด ๒ ท่อนอาบน้ำดำเกล้าแล้ว เลี้ยงดูท่านตักกบัณฑิต ด้วยโภชนะอันประณีต สองสามวัน ก็กล่าวว่า „บัดนี้ท่านจักไปไหนต่อไปเล่า ?“ 

ตักกบัณฑิตกล่าวว่า „ขึ้นชื่อว่ากิจด้วยการอยู่ครองเรือนไม่มีแก่ข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าจักบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่านั่นแหละ". โจรกล่าวว่า „ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็จักบวชด้วย“.  ทั้งสองคนพากันบวช ไปสู่ราวป่านั้น ให้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ เกิดได้แล้ว ในเวลาสิ้นชีวิตก็ได้ไปสู่พรหมโลก.  พระบรมศาสดาตรัสเรื่องทั้งสองเหล่านี้แล้ว ครั้นตรัสรู้แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ ความว่า  :- "หญิงทั้งหลาย เป็นผู้มักโกรธ. อกตัญญู มักส่อเสียดและคอยแต่ทำลาย, ก่อนภิกษุ เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิดแล้วเธอจักไม่คลาด ความสุขเป็นแน่“.

ในพระคาถานั้น ประมวลอรรถาธิบายได้ดังนี้ : ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย เป็นผู้มักโกรธ ไม่สามารถจะหักห้ามความโกรธที่เกิดขึ้นแล้วได้เลย เป็นคนอกตัญญูไม่รู้อุปการคุณแม้จะยิ่งใหญ่ เป็นคนส่อเสียด ชอบกล่าวคำ อันแสดงถึงความส่อเสียดอยู่ร่ำไป เป็นผู้มีนิสัยชอบทำลายชอบทำลายหมู่มิตร มีปกติกล่าวคำทำให้มิตรแตกกันเป็นประจำหญิงเหล่านี้ประกอบไปด้วยธรรมอันลามกเห็นปานนี้. เธอจะไปต้องการหญิงเหล่านี้ทำไมเล่า ? ดูก่อนภิกษุ เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด เพราะว่า การงดเว้นจากเมถุนธรรมนี้ชื่อว่าพรหมจรรย์ ด้วยอรรถว่า เป็นคุณอันบริสุทธิ์ เธอประพฤติ พรหมจรรย์นั้น ก็จะไม่คลาดความสุข คือว่า เมื่อเธออยู่ประพฤติพรหมจรรย์นั้น จักไม่คลาดความสุขในฌานได้แก่ ความสุขอันเกิดจากมรรคและความสุขอันเกิดจากผล อธิบายว่า จักไม่ละความสุขนี้ คือจักไม่เสื่อมจากความสุขนี้. ปาฐะว่า น ปริหายสิ เธอจักไม่เสื่อม ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างเดียวกันนี้แหละ. 

พระบรมศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประกาศสัจจะทั้งหลาย. ในเวลาจบสัจจะภิกษุกระสันดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. แม้พระบรมศาสดา ก็ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า นายโจรในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ในครั้งนี้ ส่วนตักกบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: