วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564

การกล่าวถ้อยคำไม่จริง

"ตเถว  ปุณฺณา ปาติโย,    อญฺญายํ  วตฺตเต  กถา;  อาการเณน  ชานามิ,  น  จายํ  ภทฺทิกา  สุราติ ฯ  ไหสุราทั้งหลาย ยังเต็มอยู่อย่างเดิม ถ้อยคำที่ท่านกล่าวนี้ไม่เป็นจริง เราจึงรู้ได้ด้วยเหตุนี้ว่า สุรานี้เป็นสุราไม่ดีแน่"

ปุณณปาติชาดกอรรถกถา

พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภเหล้าเจือยาพิษ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ตเถว ปุณฺณปาติโย ดังนี้. 

สมัยหนึ่ง พวกนักเลงสุราในเมืองสาวัตถี ชุมนุมปรึกษากันว่า „ทุนค่าซื้อสุราของพวกเราหมดแล้ว จักหาที่ไหนได้เล่า ?" ขณะนั้น นักเลงกักขฬะคนหนึ่งกล่าวว่า „อย่าไปคิดถึงเลย อุบายยังมีอยู่อย่างหนึ่ง“.  พวกนักเลงพากันถามว่า „อุบายอย่างไร ?“ นักเลงกักขฬะบอกว่า „ท่านอนาถบิณฑิกะใส่แหวนหลายวง นุ่งผ้าเนื้อเกลี้ยง ไปเฝ้าในหลวง พวกเราเอายาเบื่อใส่ในไหสุรา พากันนั่งเตรียมการดื่ม เวลาท่านอนาถบิณฑิกะมา ก็เชิญท่านว่า เชิญทางนี้ครับท่านมหาเศรษฐีแล้วให้ท่านดื่ม เมื่อสลบแล้ว ก็ริบแหวนกับผ้านุ่ง ทำทุนซื้อเหล้ากินได้“.  นักเลงเหล่านั้นรับรองว่า „ดีจริง ๆ“ ชวนกันทำอย่างนั้น เวลาท่านเศรษฐีเดินมา ก็เดินสวนทางไป พลางกล่าวว่า "นายขอรับ เชิญมาทางนี้ก่อนเถิดครับสุราในวงของพวกข้าพเจ้า น่าชื่นใจยิ่งนัก เชิญดื่มสักหน่อย ค่อยไปเถิดครับ“. 

ท่านอนาถบิณฑิกะ เป็นโสดาบันอริยสาวกจักดื่มสุราได้อย่างไร? แม้ถึงท่านจะไม่ต้องการ ก็คิดจักจับไหวพริบพวกนักเลงเหล่านั้นจึงเดินไปถึงที่ซึ่งจัดเป็นที่ดื่มชำเลืองดูกิริยาของพวกนั้น ก็ทราบว่า „พวกนี้ปรุงสุรานี้ไว้ด้วยเหตุ ชื่อ นี้แล้ว“, ดำริต่อไปว่า „ตั้งแต่บัดนี้ไป ต้องไล่พวกนี้ให้หนีไปจากที่นี้“, ดังนี้แล้วพูดว่า „แนะเฮ้ย เจ้าพวกนักเลงสุราชั่วร้ายพวกเจ้าเอายาเบื่อใส่ในไหเหล้าแล้วคบคิดกัน ให้คนที่มาพากันดื่มสลบไสลแล้วก็ปล้นเขาเสีย“ ดังนี้ จัดตั้งวงดื่มนั่งรอคุยอวดแต่สุรานี้อย่างเดียว, ใคร ๆ แม้สักคนเดียวก็ไม่กล้ายกเหล้านี้ขึ้นดื่ม, ถ้าเหล้านี้ไม่ผสมยาเบื่อแล้วไซร้, พวกเจ้าต้องดื่มกันบ้างเป็นแน่“, ท่านเศรษฐีขู่นักเลงเหล่านั้นให้หนีไปจากที่นั้นแล้ว ก็ไปบ้านของตนได้คิดว่า „จักต้องกราบทูลเหตุที่พวกนักเลงกระทำให้พระตถาคตทรงทราบ“ จึงไปสู่พระเชตวันมหาวิหารกราบทูลพระศาสดาให้ทรงทราบ. 

พระศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนคฤหบดี มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พวกนักเลงเหล่านั้นประสงค์จะหลอกลวงเธอ, ถึงในครั้งก่อนก็ได้มีประสงค์จะหลอกลวง บัณฑิตทั้งหลายมาแล้ว“, ท่านเศรษฐีกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- 

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี  พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพาราณสีเศรษฐี. แม้ในครั้งนั้น พวกนักเลงเหล่านั้นก็ปรึกษากันอย่างนี้แหละปรุงสุราไว้ เวลาท่านพาราณเศรษฐีเดินมา ก็เดินสวนทางชวนพูดทำนองเดียวกันทีเดียว.  ท่านเศรษฐีแม้ไม่มีความประสงค์จะดื่มก็อยากจะจับเล่ห์เหลี่ยมพวกนั้น จึงไป ครั้นดูกิริยาของพวกนักเลงเหล่านั้นแล้ว ก็คิดว่า „พวกนักเลงเหล่านี้มุ่งจะทำสิ่งนี้เราต้องไล่มันไปจากที่นี่“, แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า „พ่อนักเลงผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมดาการที่จะดื่มสุราแล้วเข้าเฝ้าในหลวงไม่ควรเลย, เราไปเฝ้าในหลวงแล้วจะมาใหม่ พวกท่านจงนั่งรออยู่ในที่นี่แหละ“. ครั้นไปเฝ้าในหลวงแล้วก็กลับมา. 

พวกนักเลงทั้งหลายพากันกล่าวว่า „เชิญทางนี้เถิดครับท่าน“. เศรษฐีไปที่นั้นแล้วมองดูไหเหล้าที่ผสมยาแล้วพูดว่า „พ่อนักเลงเจริญทั้งหลาย การกระทำของพวกเจ้าไม่ถูกใจเราเลย, ไหเหล้าของพวกเจ้ายังเต็มอยู่ตามเดิม, พวกเจ้าคุยอวดสุราอย่างเดียว แต่ไม่ดื่มกันเลย, ถ้าเหล้านี้ชื่นใจจริง ๆ พวกเจ้าก็ต้องดื่มกันบ้าง, แต่เหล้านี้พวกเจ้า ต้องผสมยาพิษลงไปเป็นแน่“,  เมื่อจะทำลายมโนรถ ของพวกนักเลงเหล่านั้นจึงกล่าวคาถานี้ ใจ ความว่า :- „ไหเหล้าคงเต็มอยู่อย่างนั้นเอง ถ้อยคำที่ท่านกล่าว คงเป็นคำหลอกลวง เรารู้ทันว่า สุรานี้ไม่ดีแน่นอน“. 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเถว ความว่า เวลาที่เราไปเห็นไหเหล้าเป็นอย่างใด แม้ในบัดนี้ ไหเหล้านี้ก็คงเต็มเปี่ยมอย่างนั้น.  บทว่า อญฺญายํ วตฺตเต วตฺตเต กถา ความว่า ถ้อยคำสรรเสริญเหล้าของพวกเจ้า เป็นคำหลอกลวง คือเป็นคำไม่จริงได้แก่ เหลวทั้งเรื่อง เพราะถ้าสุรานี้ดีจริง ๆพวกเจ้าต้องดื่มกันจะพึงเหลือเพียงค่อนไห แต่พวกเจ้าไม่ได้ดื่มกินแม้แต่คนเดียว.  บทว่า อการเกน ชานามิ ความว่า เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ด้วยเหตุนี้.  บทว่า เนวายํ ภทฺทกา สุรา ความว่า สุรานี้ไม่ดีแน่นอนต้องเป็นสุราผสมยาพิษ. 

ท่านเศรษฐี ข่มขู่พวกนักเลง คุกคามไม่ให้คนเหล่านั้นทำอย่างนี้อีกแล้วปล่อยไป. กระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น ตลอด ชีวิตแล้วก็ไปตามยถากรรม.  พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประชุมชาดกว่า พวกนักเลงในครั้งนั้นได้มาเป็นพวกนักเลงในครั้งนี้ส่วนพาราณสีเศรษฐีได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: