วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564

ความสำเร็จเกิดจากความพยายาม

"อาสีเสเถว  ปุริโส,  น นิพฺพินฺเทยฺย  ปณฺฑิโต;   ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, ยถา อิจฺฉึ ตถา อหูติ ฯ  บุรุษผู้เป็นบัณฑิตควรมุ่งหมายไปกว่าจะสำเร็จผล ไม่ควรจะท้อถอย ดูเราเป็นตัวอย่าง  เราปรารถนาอย่างใดได้อย่างนั้น"

มหาสีลวชาดกอรรถกถา

พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุผู้มีความเพียรย่อหย่อน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อาสึเสเถว ปุริโส ดังนี้. 

มีเรื่องย่อว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า „ดูก่อนภิกษุ จริงหรือที่ว่า เธอเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อน“, ครั้นเธอรับว่า „จริงพระเจ้าข้า“, จึงตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุ เธอบรรพชาในพระศาสนาอันนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้เห็นปานดังนี้แล้ว เหตุใดจึงย่อหย่อนความเพียรเสียเล่า ในกาลก่อนบัณฑิตทั้งหลาย แม้จะเสื่อมจากราชสมบัติ ก็ยังดำรงอยู่ในความเพียรของตนนั่นแล กลับทำยศแม้สลายไปแล้วให้เกิดขึ้นได้“ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :- 

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี   พระโพธิสัตว์เสด็จอุบัติในคัพโภทร แห่งอัครมเหสีของพระราชา ในวันเฉลิมพระนาม พระประยูรญาติทั้งหลายได้ทรงตั้งพระนามว่าสีลวกุมาร.  พอมีพระชนม์ ๑๖ พรรษาก็ทรงศึกษาศิลปะสำเร็จเสร็จทุกอย่าง ภายหลังพระราชบิดาสวรรคต ก็ดำรงราชได้รับเฉลิมพระนามว่ามหาสีลวราชทรงประพฤติธรรมทรงเป็นพระธรรมราชา.   พระองค์รับสั่งให้สร้างโรงทานไว้ ๖ โรง คือ ๔ โรงที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ด้าน๑ โรงท่ามกลางพระนคร ๑ โรงที่ประตูพระราชวังทรงให้ทานแก่คนกำพร้าและคนเดินทางทรงรักษาศีล ถืออุโบสถทรงสมบูรณ์ด้วยพระขันติ พระเมตตาและพระกรุณาทรงให้สรรพสัตว์แช่มชื่น ประดุจยังพระโอรสผู้ประทับนั่งเหนือพระเพลาให้แช่มชื่นฉะนั้นทรงครองราชโดยธรรม. 

มีอำมาตย์ของพระราชาผู้หนึ่ง ละลาบละล้วงเข้าไปในเขตพระราชฐาน ภายหลังความปรากฏขึ้น อำมาตย์ทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงทราบพระองค์ทรงคอยจับ ก็ทรงทราบโดยประจักษ์ด้วยพระองค์เองจึงรับสั่งให้อำมาตย์นั้นเข้ามาเฝ้าแล้ว ตรัสขับไล่ว่า แน่ะคนอันธพาล เจ้าทำกรรมไม่สมควรเลย ไม่ควรอยู่ในแว่นแคว้นของเรา จงขนเงินทองและพาลูกเมียของตัวไปที่อื่น.   อำมาตย์นั้นไปพ้นแคว้นกาสี ถึงแคว้นโกศล เข้ารับราชการกะพระเจ้าโกศลได้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างสนิทของพระราชาโดยลำดับ. 

วันหนึ่งอำมาตย์นั้น กราบทูลพระเจ้าโกศลว่า „ขอเดชะ อันราชสมบัติในกรุงพาราณสี เปรียบเหมือนรวงผึ้งที่ปราศจากตัวผึ้ง พระราชาก็อ่อนแอ อาจยึดเอาได้ด้วยพลพาหนะมีประมาณน้อยเท่านั้น“.  พระราชาทรงสดับคำของเขาแล้วทรงพระดำริว่า „ราชสมบัติในกรุงพาราณสีใหญ่โตแต่อำมาตย์ผู้นี้กล่าวว่า อาจยึดได้ด้วยพลพาหนะมีประมาณน้อยเท่านั้น อำมาตย์ผู้นี้ชะรอยจะเป็นคนสอดแนมหรืออย่างไรน่าสงสัยนักแล้วมีพระดำรัสว่า ชะรอยเจ้าจะเป็นคนสอดแนมละซี“.  อำมาตย์นั้นกราบบังคมทูลว่า „ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ามิใช่เป็นคนสอดแนม ตามที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลเป็นความจริงทั้งนั้น แม้นพระองค์จะไม่ทรงเชื่อข้าพระพุทธเจ้า ก็โปรดส่งคนไปปล้นหมู่บ้านชายแดนดูเถิด พระเจ้าพาราณสีจับคนเหล่านั้นได้ ก็จักพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์แก่คนเหล่านั้นแล้วทรงปล่อย“. 

พระเจ้าโกศลทรงพระดำริว่า „อำมาตย์ผู้นี้พูดจาองอาจยิ่งนัก เราจักทดลองดูให้รู้แน่นอน“ แล้วก็ทรงส่งคนของพระองค์ไป ให้ปล้นหมู่บ้านชายแดนของพระเจ้าพาราณสี.  ราชบุรุษจับโจรเหล่านั้นได้ คุมตัวไปถวายพระเจ้าพาราณสี. พระราชาทอดพระเนตรคนเหล่านั้นแล้ว รับสั่งถามว่า „พ่อเอ๋ย เหตุไรจึงพากันปล้นชาวบ้าน ?“ คนเหล่านั้นกราบทูลว่า „ขอเดชะพวก ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีจะกินจึงปล้น“. พระราชารับสั่งว่า „เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุไรจึงไม่พากันมาหาเราเล่า? ต่อแต่นี้ไปเบื้องหน้า พวกเจ้าอย่ากระทำเช่นนี้เลยนะ“ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ก็คนเหล่านั้นแล้วปล่อยตัวไป. คนเหล่านั้นพากันไปกราบทูล ประพฤติเหตุนั้น แด่พระเจ้าโกศล. 

แม้จะทรงทราบเรื่องถึงขนาดนี้ พระเจ้าโกศลก็มิอาจจะทรงยกกองทัพไปทรงส่งคนไปให้ยื้อแย่งในท้องถนนอีก. แม้พระเจ้าพาราณสี ก็คงยังทรงพระราชทานพระราชทรัพย์แก่คนเหล่านั้นแล้วทรงปล่อยตัวไปอยู่นั่นเอง.  ที่นั้นพระเจ้าโกศลจึงทรงทราบว่า พระราชาเป็นตั้งอยู่ในธรรม ดีเกินเปรียบ จึงทรงยกพลพาหนะเสด็จออกไปด้วยหมายพระทัยว่า จักยึดราชสมบัติเมืองพาราณสี.  ก็ในครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสี มีนักรบผู้ยิ่งใหญ่อยู่ประมาณพันนาย ล้วนแต่กล้าหาญอย่างเยี่ยม ใคร ๆ ไม่อาจทำลายได้เลย แม้ถึงช้างที่ซับมันจะวิ่งมาตรงหน้า ทุกนายก็สู้ไม่ถอย แม้ถึงสายฟ้าจะฟาดลงมาที่ศีรษะ ทุกนายก็ไม่สะดุ้งหวาดเสียวล้วนแต่สามารถจะยึดราชสมบัติทั่วชมพูทวีปมาถวายได้ ในเมื่อพระเจ้าสีลวมหาราชทรงพอพระราชหฤทัย. 

นักรบเหล่านั้นฟังข่าวว่า พระเจ้าโกศลยกทัพมา พากันเข้าเฝ้าพระราชากราบทูลว่า „ขอเดชะ ข่าวว่า พระเจ้าโกศลหมายพระทัยว่า จะยึดครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี ยกกองทัพมา ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายของพระราชทานพระบรมราชานุญาต ยกไปจับองค์ โกศลราชเฆี่ยนเสีย มิให้รุกล้ำล่วงรัฐสีมา ของข้าพระพุทธเจ้าได้ทีเดียว“.  พระเจ้าพาราณสีทรงห้ามว่า „พ่อทั้งหลาย ฉันไม่ต้องการให้คนอื่นลำบากเพราะฉันเลย เมื่อพระเจ้าโกศลอยากได้ราชสมบัติ ก็เชิญมายึดครองเถิด พวกท่านทั้งหลาย อย่าไปต่อสู้เลย“.  พระเจ้าโกศลกรีฑาพลล่วงรัฐสีมาเข้ามายังชนบทชั้นกลางพวกอำมาตย์สูรมหาโยธา ก็พากันเข้าเฝ้าพระราชา พร้อมกับกราบทูลเช่นนั้นอีกครั้งหนึ่ง. พระราชาก็ทรงห้ามไว้เหมือนครั้งแรกนั่นแล.  พระเจ้าโกศลยกพลมาตั้งประชิดภายนอกพระนครทีเดียว พลางส่งพระราชสาสน์ มาถึงพระเจ้าสีลวมหาราชว่า „จะยอมยกราชสมบัติให้หรือจักรบ?“. พระเจ้าสีลวมหาราช ส่งพระราชสาสน์ตอบไปว่า „เราไม่รบกับท่านเชิญยึดครองราชสมบัติเถิด“. พวกอำมาตย์พร้อมกันเข้าเฝ้าพระราชาอีกครั้งหนึ่งกราบทูลว่า "ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ยอมให้ พระเจ้าโกศลเข้าเมืองได้ จะพร้อมกันจับเฆี่ยนเสีย ที่นอกพระนครนั่นแหละ“.

พระราชาก็ทรงตรัสห้ามเสียเหมือนครั้งก่อน มีพระกระแส รับสั่งให้เปิดประตูเมืองทุกด้านแล้ว ก็ประทับเหนือพระราชบัลลังก์ในท้องพระโรง พร้อมด้วยอำมาตย์พันนาย.  พระเจ้าโกศลเสด็จเข้าสู่กรุงพาราณสีพร้อมด้วยพลและพาหนะมากมาย. มิได้ทอดพระเนตรเห็นที่จะเป็นศัตรูตอบโต้แม้สักคนเดียว ก็เสด็จสู่ทวารพระราชวัง แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เสด็จขึ้นสู่ท้องพระโรง อันประดับตกแต่งแล้ว ในพระราชวังอันมีทวาร เปิดไว้แล้ว มีพระกระแสรับสั่งให้จับพระเจ้าสีลวมหาราช ผู้ปราศจากความผิด ซึ่งประทับนั่งอยู่นั้นพร้อมด้วยอำมาตย์ทั้งพันพลางตรัสว่า „พวกเจ้าจงไป มัดพระราชานี้กับพวกอำมาตย์ เอามือไพล่หลัง มัดให้แน่นแล้วนำไปสู่ป่าช้าผีดิบ ขุดหลุมให้ลึกเพียงคอ เอาคนเหล่านี้ฝังลงไปแค่คอ กลบเสียไม่ให้ยกมือขึ้นได้สักคนเดียว, ในเวลากลางคืนพวกหมาจิ้งจอกมันพากันมาแล้วจักช่วยกันกระทำกิจที่ควรทำแก่คนเหล่านี้เอง“. 

พวกมนุษย์ทั้งหลาย ฟังคำอาญาสิทธิ์ของโจรราชแล้ว ก็ช่วยกันมัดพระราชาและหมู่อำมาตย์ ไพล่หลังอย่างแน่นหนา พาออกไป.  แม้ในกาลนั้น พระเจ้าสีลวมหาราช ก็มิใช่ทรงอาฆาต ก็โจรราช แม้แต่น้อยเลย ถึงบรรดาอำมาตย์แม้เหล่านั้นที่ถูก จับมัดจูงไปทำนองเดียวกัน ก็มิได้มีสักคนเดียวที่จะชื่อว่าบังอาจทำลายพระดำรัสของเจ้านายตน. ได้ยินว่า บริษัทของพระเจ้าสีลวมหาราชนั้น มีวินัยดีอย่างนี้.  ครั้งนั้น ราชบุรุษของโจรราชพวกนั้น ครั้นพาพระเจ้าสีลวมหาราช พร้อมด้วยอำมาตย์ไปถึงป่าช้าผีดิบแล้ว ก็ช่วยกันขุดหลุมลึกเพียงคอ จักพระเจ้าสีลวมหาราชลงหลุมอยู่ตรงกลาง จับพวกอำมาตย์ที่เหลือแม้ทุกคนใส่ในหลุมสองข้าง เอาดินร่วน ๆ ใส่ทุบจนแน่นแล้วพากันมา.  พระเจ้าสีลวมหาราช ตรัสเรียกพวกอำมาตย์ พระราชทานโอวาทว่า „พ่อคุณเอ๋ย พวกเจ้าทุกคน จงเจริญเมตตาอย่างเดียว อย่าทำความขุ่นเคืองในโจรราช“. 

ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืน ฝูงหมาจิ้งจอก ต่างก็คิดมุ่งจะกัดกินเนื้อมนุษย์ พากันวิ่งมา พระราชาและหมู่อำมาตย์เห็นฝูงหมาจิ้งจอกนั้นแล้ว ก็เปล่งเสียงเป็นเสียงเดียวกันทีเดียว.  ฝูงหมาจิ้งจอกต่างกลัว พากันหนีไป. ครั้นมันเหลียวกลับมาดู ไม่เห็นมีใครตามหลังมา ก็พากันกลับมาใหม่. พระราชาและหมู่อำมาตย์ก็ตะเพิดมันด้วยวิธีนั้น. พวกมันพากันหนีไปถึง ๓ ครั้ง หันมาดูอีก รู้อาการที่คนเหล่านั้นแม้แต่คนเดียวก็ตามมาไม่ได้ จึงสันนิษฐานว่า คนเหล่านี้จักต้องถูกฆ่าแล้วจึงกล้าย้อนกลับไปถึงคนเหล่านั้นจะทำเสียงเอะอะอีก ก็ไม่หนีไป. 

จิ้งจอกตัวจ่าฝูงรี่เข้าหาพระราชา ตัวที่เหลือก็พากันไปใกล้พวกอำมาตย์ พระราชาทรงฉลาดในอุบายทรงทราบอาการที่หมาจิ้งจอกนั้นมาใกล้พระองค์ ก็ทรงเงยพระศอขึ้น เหมือนกับให้ช่องที่มันจะกัดได้ พอมันจะงับพระศอ ก็ทรงกดไว้ด้วยพระหนุอย่างแน่นหนาประดุจทับไว้ด้วยหีบยนต์ หมาจิ้งจอกถูกพระราชาผู้ทรงพระกำลังดุจช้างสาร กดที่คอด้วยพระหนุอย่างแน่นหนา ไม่สามารถจะดิ้นหลุดได้ ก็กลัวตาย จึงร้องดังโหยหวน.  ฝูงหมาจิ้งจอกบริวารได้ยินเสียงนายของตนแล้ว พากันคิดว่า ชะรอยจิ้งจอกผู้เป็นนายจักถูกชายผู้นั้นจับไว้ได้ จึงไม่อาจเข้าใกล้หมู่อำมาตย์ต่างก็กลัวตาย พากันหนีไปหมด.  เมื่อหมาจิ้งจอกถูกพระราชากดไว้แน่นหนาด้วยพระหนุ เหมือนกับไว้ด้วยหีบยนต์ ดิ้นรนไปมาทำให้ดินร่วนที่ทุบไว้แน่น ๆ หลวมตัวได้ ทั้งมันเองก็กลัวตาย จึงเอาเท้าทั้ง ๔ ตะกุยดินที่กลบพระราชาไว้. 

พระองค์ทรงทราบอาการที่ดินหลวมตัวแล้ว ก็ทรงปล่อยหมาจิ้งจอกไป. พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยกำลังกายดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยกำลังใจ โคลงพระองค์ไปมา ก็ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นมาได้ทรงเหนี่ยวปากหลุมถอนพระองค์ขึ้นได้ เหมือนวลาหกต้องกระจาย ด้วยแรงลมฉะนั้น ดำรงพระองค์ได้แล้ว ก็ทรงปลอบหมู่อำมาตย์ทรงคุ้ยดิน ช่วยให้ขึ้นจากหลุมได้ทั่วกัน พระองค์มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม ประทับอยู่ในป่าช้าผีดิบนั่นเอง. 

สมัยนั้น พวกมนุษย์เอาศพไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ แต่ทิ้งตรงที่คาบเกี่ยว แดนยักษ์ ๒ ตน.  ยักษ์ทั้ง ๒ ตนนั้น ไม่อาจแบ่งมนุษย์ที่ตายแล้วนั้นได้ เกิดวิวาทกันแล้วพูดกันว่า „เราทั้งสองไม่สามารถแบ่งกันได้, พระเจ้าสีลวมหาราชพระองค์นี้เป็นผู้ทรงธรรมพระองค์นี้ จักทรงแบ่งพระราชทานแก่เราได้, พวกเราจงไปสู่สำนักของพระองค์“, แล้วก็จับมนุษย์ผู้ตายแล้วนั้นที่เท้าคนละข้าง ลากไปถึงสำนักของพระราชาแล้วกราบทูลว่า „ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงแบ่งร่างมนุษย์ผู้ตายนี้แก่ข้าพระองค์ทั้งสองด้วยเถิด“.  พระเจ้าสีลวมหาราชรับสั่งว่า „ดูก่อนยักษ์ผู้เจริญ เราจะช่วยแบ่งร่างมนุษย์นี้ให้ท่านทั้งสอง แต่เรายังมีร่างกายไม่สะอาด ต้องอาบน้ำก่อน". 

ยักษ์ทั้งสองก็ไปเอาน้ำที่อบไว้สำหรับโจรราช มาด้วยอานุภาพของตน ถวายให้พระเจ้าสีลวมหาราชสรงแล้วไปเอาผ้าสาฎกของโจรราช ที่พันเก็บไว้ เป็นผ้าทรงของท้าวเธอ มาถวายให้ทรงแล้วไปนำเอาผอบพระสุคนธ์ อันปรุงด้วยคันธชาต ๔ ชนิด มาถวายให้ทรงชะโลมองค์แล้วไปเอาดอกไม้ต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในผอบทองและผอบแก้ว มาถวายให้ทรงประดับ ครั้นพระเจ้าสีลวมหาราชทรงประดับดอกไม้แล้วประทับยืน ยักษ์ทั้งสองก็กราบทูลถามว่า „ข้าพระองค์ต้องทำอะไรอีกพระเจ้าข้า?“.  พระเจ้าสีลวมหาราชทรงแสดงพระอาการว่า พระองค์หิว. ยักษ์ทั้งสองก็ไปนำโภชนาหารที่เลิศรส นานาชนิด ที่เขาจัดเตรียมไว้สำหรับโจรราชมาถวาย. 

พระเจ้าสีลวมหาราชทรงสนานพระกาย แต่งพระองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้ว ก็เสวยพระกระยาหาร ยักษ์ทั้งสองก็ไปนำน้ำดื่มที่อบแล้ว กับพระเต้าทองพร้อมทั้งขันทอง ที่เขาจัดไว้สำหรับโจรราช มาถวายให้ทรงดื่ม ครั้นทรงดื่ม บ้วนพระโอษฐ์และชำระพระหัตถ์แล้ว ก็พากันไปนำพระศรี (ใบพลู) อันปรุงด้วยคันธชาต ๕ ประการ ที่จัดไว้สำหรับโจรราชมาถวายให้ทรงเคี้ยวเสร็จแล้วก็ทูลถามว่า „จะให้ข้าพระองค์ทั้งสองกระทำอะไรอีกพระเจ้าข้า?“, รับสั่งว่า „จงไปนำพระขรรค์อันเป็นมงคลที่เก็บไว้บนหัวนอนของโจรราชมา“, ยักษ์ทั้งสองก็ไปนำมาถวายพระเจ้าสีลวมหาราชทรงรับพระขรรค์ทรงตั้งซากศพนั้นให้ตรงทรงฟันกลางกระหม่อม ผ่าแบ่งเป็นสองซีก พระราชทานแก่ยักษ์ทั้งสองคนละเท่า ๆ กัน ครั้นแล้วทรงชำระพระขรรค์เหน็บไว้ที่พระองค์.  ฝ่ายยักษ์ทั้งสองกินเนื้อมนุษย์แล้ว ก็อิ่มเอิบ ดีใจ พากันทูลถามว่า „ข้าพระองค์ทั้งสองต้องทำอะไรถวายอีก?“. พระเจ้าสีลวมหาราชทรงรับสั่งว่า „ถ้าอย่างนั้น เจ้าทั้งสองจงแสดงอานุภาพ พาเราไปไว้ในห้องสิริไสยาศน์ ของโจรราชและพาหมู่อำมาตย์เหล่านี้ไปไว้ที่เรือนของตน ๆเถิด“.  ยักษ์ทั้งสองรับกระแสพระดำรัสแล้วพากันปฏิบัติตามนั้น.

ครั้งนั้น โจรราชบรรทมหลับเหนือพระแท่นสิริไสยาศน์ในห้องอันทรงสิริงดงาม พระเจ้าสีลวมหาราช ก็ทรงเอาแผ่นพระขรรค์ประหารพระอุทรโจรราช ผู้กำลังหลับอย่างลืมตัว.  ท้าวเธอตกใจตื่นบรรทมทรงจำพระเจ้าสีลวมหาราชได้ด้วยแสงประทีป เสด็จลุกจากพระยี่ภู่ ดำรงพระสติมั่น ตรัสกับพระเจ้าสีลวมหาราชว่า „มหาราชะ ยามราตรีเช่นนี้ ในวังปิดประตู มีผู้รักษากวดขัน ทุกแห่งไม่มีว่างเว้นจากเวรยาม พระองค์เสด็จมาถึงที่นอนนี้ได้อย่างไรกัน ?" 

พระเจ้าสีลวมหาราช ตรัสเล่าถึงการเสด็จมาของพระองค์ ให้ฟังทั้งหมดโดยพิสดาร โจรราชสดับเรื่องนั้นแล้วสลดพระทัยนัก ตรัสว่า „มหาราชะ ถึงหม่อมฉันจะเป็นมนุษย์ ก็มิได้ทราบซึ้งพระคุณสมบัติของพระองค์เลย, แต่พวกยักษ์อันกินเลือดเนื้อของคนอื่น หยาบคายร้ายกาจ ยังรู้ถึงพระคุณสมบัติของพระองค์ ข้าแต่พระจอมคน คราวนี้ หม่อมฉันจะไม่คิดประทุษร้ายในพระองค์ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลเช่นนี้อีก“ พลางทรงจับพระขรรค์ ทำการสบถ กราบทูลขอขมากับพระเจ้าสีลวมหาราช เชิญให้เสด็จบรรทมเหนือพระยี่ภู่ใหญ่ พระองค์ เองบรรทมเหนือพระแท่นน้อย.  ครั้นสว่างแล้ว ดวงอาทิตย์อุทัยแล้ว ก็ให้คนนำกลองไปเที่ยวตีประกาศ ให้บรรดาเสนาทุกหมู่เหล่าและอำมาตย์ พราหมณ์ คฤหบดี ประชุมกัน ตรัสสรรเสริญพระคุณของพระเจ้าสีลวะ เปรียบเหมือนทรงชูดวงจันทร์เพ็ญในอากาศขึ้นข้างหน้าของคนเหล่านั้นทรงขอขมาพระเจ้าสีลวะท่ามกลางบริษัทนั้นอีกครั้งหนึ่งทรงเวนคืนราชสมบัติตรัสว่า „ตั้งแต่บัดนี้ไป อุปัทวันตรายที่เกิดแต่โจรผู้ร้าย อันจะบังเกิดแก่พระองค์ หม่อมฉันขอรับภาระกำจัด, ขอพระองค์ทรงเสวยราชย์โดยมีหม่อมฉันเป็นผู้อารักขาเถิด“, แล้วทรงลงอาญาแก่อำมาตย์ผู้ส่อเสียด รวบรวมพลพาหนะ เสด็จไปสู่แว่นแคว้นของพระองค์. 

ฝ่ายพระเจ้าสีลวมหาราชทรงประดับด้วยราชอลังการประทับนั่งเหนือกาญจนบัลลังก์ มีเท้ารองด้วยหนังชะมด ภายใต้พระเศวตฉัตร์ ทอดพระเนตรดูราชสมบัติของพระองค์ทรงพระดำริว่า „สมบัติอันโอฬารปานนี้และการกลับได้คืนชีวิต ของอำมาตย์ ทั้งพันคน แม้นเราไม่กระทำความเพียร จักไม่มีเลยสักอย่างเดียว, แต่ด้วยกำลังของความเพียร เราจึงได้คืนยศนี้ซึ่งเสื่อมไปแล้วและได้ให้ชีวิตทานแก่อำมาตย์หนึ่งพัน บุคคลไม่ควรสิ้นหวังเสียเลย, ควรกระทำความเพียรถ่ายเดียว เพราะผู้ที่กระทำความเพียรแล้ว ย่อมสำเร็จผลอย่างนี้“, แล้วตรัสคาถานี้ด้วยสามารถแห่งอุทาน ความว่า :-  „บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงหวังอยู่ร่ำไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราประจักษ์ด้วยตนเองว่า ปรารถนา อย่างใดก็ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว“. 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสึเสเถว ปุริโส ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต ต้องกระทำความหวังไว้ด้วยกำลังความเพียรของตนว่า เมื่อเราปรารภความเพียรอยู่อย่างนี้ จักพ้นจากทุกข์นี้ ดังนี้.  บทว่า น นิพฺพินฺเทยฺย ปณฺฑิโต ความว่า บุรุษได้นามว่าเป็นบัณฑิต คือเป็นผู้ฉลาดในอุบาย เมื่อกระทำความเพียรในที่ ๆต้องขะมักเขม้น ไม่พึงเบื่อหน่าย คือไม่ควรทำการตัดความหวังเสียว่า เราจักไม่ได้ผลของความเพียรนี้เลย ดังนี้.  บทว่า โว ในบทว่า ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ นี้เป็นเพียงนิบาตได้ ความว่า วันนี้เราเห็นตนเองเป็นประจักษ์พยาน.  บทว่า ยถา อิจฺฉึ ตถา อหุ ความว่า (เราเห็นตนเป็นตัวอย่างอยู่)ว่า ก็เราถูกฝังไว้ในหลุมแท้ ๆยังพ้นจากทุกข์ได้ครั้นปรารภสมบัติของตนอีกเล่า เรานั้นก็เห็นตนเอง ลุถึงสมบัตินี้แล้ว ในครั้งก่อนเราปรารถนาไว้อย่างใดเล่า ตนของเราก็เป็นอย่างนั้นแล้วแล ดังนี้. พระโพธิสัตว์ครั้นตรัสว่า „ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมดาผลแห่งความเพียรของท่านผู้สมบูรณ์ด้วยศีลทั้งหลาย ย่อมสำเร็จได้อย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ ดังนี้ทรงเปล่งอุทานด้วยคาถานี้ทรงกระทำบุญทั้งหลายตลอดพระชนม์แล้วก็เสด็จไปตามยถากรรม ด้วยประการฉะนี้. 

พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสประกาศจตุราริยสัจแล้ว ในเมื่อจบจตุราริยสัจ ภิกษุผู้มีความเพียรย่อหย่อน ก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล. พระบรมศาสดาทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า อำมาตย์ชั่วในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัตในบัดนี้ อำมาตย์หนึ่งพันได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าสีลวมหาราชได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.  จบอรรถกถามหาสีลวชาดกที่ ๑

CR: หมายเหตุ ข้อมูลที่มา ภาษาบาฬี จากเว็บไซต์ tipitaka.org คำแปลจาก ฉบับมหิดล, ฉบับสยามรัฐ, ฉบับมหาเถรสมาคม เป็นต้น, ส่วนอรรถกถาแปลโดยมากจากฉบับมหาจุฬาฯ  Palipage : Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: