วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ราโชวาทชาตกํ - ว่าด้วยวิธีชนะ

ราโชวาทชาตกํ - ว่าด้วยวิธีชนะ

"ทฬฺหํ  ทฬฺหสฺส  ขิปติ,    พลฺลิโก  มุทุนา  มุทุํ;      สาธุมฺปิ  สาธุนา  เชติ,  อสาธุมฺปิ  อสาธุนา;    เอตาทิโส  อยํ  ราชา,  มคฺคา  อุยฺยาหิ  สารถิ ฯ    พระเจ้าพัลลิกราชทรงแข็งต่อผู้ที่แข็ง, ทรงชำนะคนอ่อนด้วยความอ่อนทรงชำนะคนดีด้วยความดี, ทรงชำนะคนไม่ดีด้วยความไม่ดี, พระราชาพระองค์นี้ เป็นเช่นนี้, ดูกรนายสารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด."

"อกฺโกเธน  ชิเน  โกธํ,  อสาธุํ  สาธุนา  ชิเน;   ชิเน  กทริยํ  ทาเนน,  สจฺเจนาลิกวาทินํ;    เอตาทิโส  อยํ ราชา,  มคฺคา  อุยฺยาหิ  สารถีติ ฯ    พระเจ้าพาราณสีทรงชำนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ, ทรงชำนะคนไม่ดีด้วยความดี, ทรงชำนะคนตระหนี่ด้วยการให้, ทรงชำนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคำสัตย์, พระราชาพระองค์นี้ เป็นเช่นนี้ ดูกรนายสารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด."

อรรถกถาราโชววาทชาดกที่ ๑ 

พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภโอวาทของพระราชา ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า  ทฬฺหํ  ทฬฺหสฺส  ขิปติ  ดังนี้.

โอวาทของพระราชานั้นจักมีแจ้งใน  เตสกุณชาดก (ชา.๒.๑๗.๑ จัตตาลีสนิปาต). ในวันหนึ่งพระเจ้าโกศลทรงวินิจฉัยคดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งวินิจฉัยไว้ไม่ดีมีอคติ เสร็จแล้วเสวยพระกระยาหารเช้า ทั้ง ๆ ที่มีพระหัตถ์ เปียก เสด็จขึ้นทรงราชรถที่จัดไว้เรียบร้อยแล้ว เสด็จไปเฝ้าพระศาสดาทรงหมอบลงแทบพระบาทอันมีสิริดุจดอกปทุมบานถวายบังคมพระศาสดาประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง.

ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสปฏิสันถารกะพระเจ้าโกศลว่า „ขอต้อนรับมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาจากไหนแต่ยังวัน?“ พระเจ้าโกศลกราบทูลว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ข้าพระองค์วินิจฉัยคดีเรื่องหนึ่งซึ่งวินิจฉัยไว้ไม่ดี จึงไม่มีโอกาส บัดนี้ พิจารณาคดีนั้นเสร็จแล้วจึงบริโภคอาหารทั้ง ๆ ที่มือยังเปียก มาเฝ้าพระองค์นี่แหละพระเจ้าข้า.“

พระศาสดาตรัสว่า „ขอถวายพระพร ชื่อว่าการวินิจฉัยโดยทำนองคลองธรรมเป็นความดี เป็นทางสวรรค์แท้, ก็ข้อที่มหาบพิตรได้โอวาทจากสำนักของผู้เป็นสัพพัญญูเช่นตถาคต ทรงวินิจฉัยคดีโดยทำนองคลองธรรมนี้ไม่อัศจรรย์เลย, การที่พระราชาทั้งหลายในกาลก่อนทรงสดับโอวาทของเหล่าบัณฑิต ทั้งที่ไม่ใช่สัพพัญญูแล้วทรงวินิจฉัยคดีโดยทำนองคลองธรรม เว้นอคติสี่อย่าง บำเพ็ญทศพิธราชธรรม ไม่ให้เสื่อมเสีย เสวยราชสมบัติโดยธรรม บำเพ็ญทางสวรรค์ เสด็จไปแล้วนี่แหละน่าอัศจรรย์“ พระเจ้าโกศลกราบทูลอาราธนา พระองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่าถวายว่า :-

ในอดีต ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี  พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชานั้นได้รับการบริหารพระครรภ์ เป็นอย่างดีทรงประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา โดยสวัสดิภาพ.  ในวันขนานพระนาม พระชนกชนนีได้ทรงตั้งพระนามของพระโพธิสัตว์ว่า พรหมทัตกุมาร. พรหมทัตกุมารนั้นได้เจริญวัยขึ้นโดยลำดับ เมื่อพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา เสด็จไปเมืองตักกศิลาทรงสำเร็จศิลปศาตร์ทุกแขนง เมื่อพระชนกสวรรคตทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ ครอบครองราชสมบัติโดยทำนองคลองธรรมทรงวินิจฉัยคดีไม่ล่วงอคติ มีฉันทาคติเป็นต้น.

เมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติโดยธรรมอย่างนี้ มีพวกอำมาตย์ต่างก็วินิจฉัยคดีโดยธรรมเหมือนกัน. เมื่อคดีทั้งหลายได้รับการวินิจฉัยโดยธรรม จึงไม่มีคดีโกงเกิดขึ้นเพราะไม่มีคดีโกงเหล่านั้นการร้องทุกข์ ณ พระลานหลวง เพื่อให้เกิดคดีก็หมดไป.  พวกอำมาตย์นั่งบนบัลลังก์วินิจฉัยตลอดวันไม่เห็นใคร มาเพื่อให้วินิจฉัยคดี ต่างก็ลุกกลับไป. สถานที่วินิจฉัยคดีก็ถูกทอดทิ้ง.

พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า เมื่อเราครองราชสมบัติโดยธรรมไม่มีผู้คนมาให้วินิจฉัยคดี ไม่มีผู้มาร้องทุกข์ สถานที่วินิจฉัยคดี ก็ถูกทอดทิ้ง. บัดนี้ เราควรตรวจสอบโทษของตน ครั้นเรารู้ว่า นี่เป็นโทษของเรา จักละโทษนั้นเสียประพฤติในสิ่งที่เป็นคุณเท่านั้น.

จำเดิมแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ก็ทรงสำรวจดูว่า จะมีใคร ๆ พูดถึงโทษของเราบ้างหนอ ครั้นไม่ทรงเห็นใคร ๆ กล่าวถึงโทษ ในระหว่างข้าราชบริพารภายในทรงสดับแต่คำสรรเสริญ คุณของพระองค์ถ่ายเดียวทรงดำริว่า ชะรอยชนเหล่านี้เพราะกลัวเราจึงไม่กล่าวถึงโทษ กล่าวแต่คุณเท่านั้น จึงทรงสอบข้าราชบริพารภายนอก แม้ในหมู่ข้าราชบริพารเหล่านั้นก็ไม่ทรงเห็น จึงทรงสอบชาวเมืองภายในพระนครทรงสอบชาวบ้านที่ทวารทั้งสี่นอกพระนคร แม้ในที่นั้นก็มิได้ทรงเห็นใครๆ กล่าวถึงโทษทรงสดับแต่คำสรรเสริญของพระองค์ถ่ายเดียว

จึงทรงดำริว่า เราจักตรวจสอบชาวชนบททรงมอบราชสมบัติให้เหล่าอำมาตย์ เสด็จขึ้นรถไปกับสารถีเท่านั้น ทรงปลอมพระองค์ไม่ให้ใครรู้จัก เสด็จออกจากพระนคร พยายามสอบสวนชาวชนบท จนเสด็จถึงภูมิประเทศชายแดน ก็มิได้ทรงเห็นใคร ๆ กล่าวถึงโทษทรงสดับแต่คำสรรเสริญพระคุณ จึงทรงบ่ายพระพักตร์สู่พระนคร เสด็จกลับตามทางหลวงจากเขตชายแดน.

ในเวลานั้น แม้พระเจ้าโกศลพระนามว่าพัลลิกะ ก็ทรงครอบครองราชสมบัติโดยธรรมทรงตรวจสอบหาโทษในบรรดาข้าราชบริพารภายในเป็นต้น มิได้ทรงเห็นใคร ๆ กล่าวถึงโทษเลยทรงสดับแต่คำสรรเสริญพระคุณของพระองค์เหมือนกันจึงทรงตรวจสอบชาวชนบทได้เสด็จถึงประเทศนั้น.

กษัตริย์ทั้งสองได้ปะจันหน้ากันที่ทางเกวียนอันราบลุ่มแห่งหนึ่ง ไม่มีทางที่รถจะหลีกกันได้.  สารถีของพระเจ้าพัลลิกะจึงพูดกะสารถีของพระเจ้าพาราณสีว่า „จงหลีกรถของท่าน“ สารถีของพระเจ้าพาราณสีก็ตอบว่า „พ่อมหาจำเริญ ขอให้ท่านหลีกรถของท่านเถิด บนรถนี้มีพระเจ้าพรหมทัตมหาราช ผู้ครอบครองราชสมบัติในกรุงพาราณสีประทับนั่งอยู่“

สารถีอีกฝ่ายหนึ่งก็พูดว่า „พ่อมหาจำเริญ บนรถนี้พระเจ้าพัลลิกะมหาราชผู้ครอบครองราชสมบัติแคว้นโกศลก็ประทับนั่งอยู่, ขอท่านได้โปรดหลีกรถของท่านแล้วให้โอกาสแก่รถของพระราชาของเราเถิด“   สารถีของพระเจ้าพาราณสีดำริว่า แม้ผู้ที่นั่งอยู่ในรถนี้ก็เป็นพระราชาเหมือนกัน เราจะควรทำอย่างไรดีหนอ นึกขึ้นได้ว่า มีอุบายอย่างหนึ่ง เราจักถามถึงวัยให้รถของพระราชาหนุ่มหลีกไปแล้วให้พระราชทานโอกาสแก่พระราชาแก่ ครั้นตกลงใจแล้วจึงถามถึงวัยของพระเจ้าโกศลกะสารถีแล้วกำหนดไว้ครั้นทราบว่า พระราชาทั้งสองมีวัยเท่ากัน จึงถามถึงปริมาณราชสมบัติ กำลัง ทรัพย์ ยศ ชาติ โคตร ตระกูล ประเทศ

ครั้นทราบว่า ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ครอบครองรัชสีมาประมาณฝ่ายละสามร้อยโยชน์ มีกำลัง ทรัพย์ ยศ ชาติ โคตร ตระกูลและประเทศเท่ากันแล้ว  คิดต่อไปว่า "เราจักให้โอกาสแก่ผู้มีศีล" จึงถามว่า „พ่อมหาจำเริญ ศีลและมารยาทแห่งพระราชาของท่านเป็นอย่างไร?“ เมื่อเขาประกาศสิ่งที่เป็นโทษแห่งพระราชาของตน โดยนึกว่า เป็นคุณ จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-

„พระเจ้าพัลลิกราชทรงชนะคนกระด้าง ด้วยความกระด้าง, ทรงชนะคนอ่อนโดยด้วยความอ่อนโยน, ทรงชนะคนดีด้วยความดี, ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความไม่ดี, พระราชาพระองค์นี้เป็นเช่นนั้น, ดูก่อนสารถีท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด.“

ในบทเหล่านั้น บทว่า  ทฬฺหํ  ทฬฺหสฺส  ขิปติ  ความว่า สารถีของพระเจ้าพัลลิกะชี้แจงว่า ผู้ใดเป็นคนกระด้าง มีกำลังควรชนะด้วยการประหารหรือด้วยวาจาอันกระด้าง ก็ใช้การประหารหรือวาจาอันกระด้างต่อผู้นั้น พระเจ้าพัลลิกะทรงใช้ความกระด้างชนะผู้นั้นอย่างนี้.  บทว่า  พลฺลิโก  เป็นชื่อของพระราชาพระองค์นั้น.  บทว่า  มุทุนา  มุทุํ  ความว่า พระเจ้าพัลลิกะทรงใช้ความอ่อนโยนชนะบุคคลอ่อนโยน ด้วยอุบายอันอ่อนโยน.   บทว่า  สาธุมฺปิ  สาธุนา  เชติ  อสาธุมฺปิ  อสาธุนา  ความว่า สารถีของพระเจ้าพัลลิกะชี้แจงต่อไปว่า ชนเหล่าใดเป็นคนดี คือเป็นสัตบุรุษ พระองค์ทรงใช้ความดีชนะชนเหล่านั้นด้วยอุบายอันดี. ส่วนชนเหล่าใดเป็นคนไม่ดี พระองค์ก็ทรงใช้ความไม่ดีชนะชนเหล่านั้นด้วยอุบายที่ไม่ดีเหมือนกัน.  บทว่า  เอตาทิโส  อยํ  ราชา  ความว่า พระเจ้าโกศลของพวกเราทรงประกอบด้วยศีลและมารยาทเห็นปานนี้.   บทว่า  มคฺคา  อุยฺยาหิ  สารถิ  ความว่า สารถีของพระเจ้าพัลลิกะพูดว่า ขอท่านจงหลีกรถของตนจากทางไปเสีย คือจงไปนอกทาง ให้ทางแก่พระราชาของพวกเรา.

ลำดับนั้น สารถีของพระเจ้าพาราณสี กล่าวกะสารถีของพระเจ้าพัลลิกะว่า "ท่านกล่าวถึงพระคุณของพระราชาของท่านหรือ" เมื่อเขาตอบว่า "ใช่แล้ว" สารถีของพระเจ้าพาราณสีจึงกล่าวต่อไปว่า "ผิว่า เหล่านี้เป็นพระคุณ สิ่งที่เป็นโทษจะมีเพียงไหน?" สารถีของพระเจ้าพัลลิกะกล่าวว่า "เหล่านี้เป็นโทษก็ตามเถิด, แต่พระราชาของท่านมีพระคุณเช่นไรเล่า" สารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง" แล้วกล่าวคาถาที่สอง ว่า :-

„พระเจ้าพาราณสีทรงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ, ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดี, ทรงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้, ทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคำสัตย์, พระราชาพระองค์นี้เป็นเช่นนั้น, ดูก่อนสารถีท่านจงหลีกทางถวายพระราชา ของเราเถิด.“

ในบทเหล่านั้น บทว่า  เอตาทิโส  ความว่า พระราชาทรงประกอบด้วยคุณเหล่านี้ที่กล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า พึงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ ดังนี้ อธิบายว่า พระราชาพระองค์นี้พระองค์เองไม่โกรธทรงชนะบุคคลผู้โกรธด้วยความไม่โกรธพระองค์เองเป็นคนดีทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พระองค์เองเป็นผู้ทรงบริจาคทรงชนะคนตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคพระองค์เองตรัสความจริงทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคำจริง.   บทว่า  มคฺคา อุยฺยาหิ  ความว่า สารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวว่า ท่านสารถีผู้เป็นสหาย ขอได้โปรดหลีกจากทาง จงให้ทางแก่พระราชาของพวกเราผู้ประกอบด้วยคุณ คือศีลและมารยาทมีอย่างนี้ พระราชาของพวกเราสมควรแก่ทางดำเนิน.

เมื่อสารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเจ้าพัลลิกะและสารถีทั้งสองก็เสด็จและลงจากรถปลดม้าถอยรถถวายทางแด่พระเจ้าพาราณสี.  พระเจ้าพาราณสี ถวายโอวาทแด่พระเจ้าพัลลิกะว่า „ธรรมดาพระราชาควรทรงกระทำอย่างนี้ ๆ“ แล้วเสด็จไปกรุงพาราณสีทรงกระทำบุญมีทานเป็นต้นทรงเพิ่มพูนทางสวรรค์ในเวลาสุดสิ้นพระชนม์.

แม้พระเจ้าพัลลิกะก็ทรงรับพระโอวาท ของพระเจ้าพาราณสีทรงสอบสวนชาวชนบท เสด็จไปทั่วพระนคร ไม่เห็นมีผู้กล่าวโทษของพระองค์ จึงกระทำบุญมีทานเป็นต้นทรงเพิ่มพูนทางสวรรค์ ในเวลาสุดสิ้นพระชนม์.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาเพื่อทรงถวายโอวาทแด่พระเจ้าโกศลแล้วทรงประชุมชาดก นายสารถีของพระเจ้าพัลลิกะ ครั้งนั้นได้เป็นพระโมคคัลลานะ พระเจ้าพัลลิกะได้เป็นพระอานนท์ สารถีของพระเจ้าพาราณสีได้เป็นพระสาริบุตร ส่วนพระราชาคือ ตถาคตเอง. จบอรรถกถาราโชวาทชาดกที่ ๑

CR: หมายเหตุ ข้อมูลที่มา ภาษาบาฬี จากเว็บไซต์ tipitaka.org คำแปลจาก ฉบับมหิดล, ฉบับสยามรัฐ, ฉบับมหาเถรสมาคม เป็นต้น, ส่วนอรรถกถาแปลโดยมากจากฉบับมหาจุฬาฯ.


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: